ส่งการบ้านครับ
1. Realism The Gods Must Be Crazy Director: Jamie Uys
Writer : Jamie Uys
Stars : N!xau, Marius Weyers and Sandra Prinsloo
หรือชื่อ ภาษาไทย เทวดาท่าจะบ๊อง ภาค 1
เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับอิทธิพลลัทธิ Realism โดยรุปแบบหนังนำเสนอรูปแบบกึ่งสารคดี ผ่านการนำเสนอการเล่าเรื่องจากบทบรรยาย
เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของชาวป่าแอฟริกา ความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม สอดแทรกมุขตลกซื่อๆแบบธรรมชาติ ทำให้หนังมีเสน่ห์
หนังนำเสนอในประเด็นรูปแบบการใช้ชีวิตของคนป่าเมื่อจากอดีตและเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมจากคนเมือง คือ ขวดโค๊กเจ้ากรรม
ดันเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินชีวิตของพวกเขา หากนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบสารคดีที่ว่าด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตของคนป่าและคนเมืองจริงๆ
อาจดูน่าเบื่อและพาลจะเครียดเอาได้ หนังจึงตั้งคำถามว่า ถ้าเกิดมีบางอย่างอยู่ผิดที่ผิดทางอะไรจะเกิดขึ้น...คือ ขวดโค๊ก กับ คนป่า
แน่นอนครับ ทุกคนเพลิดเพลินกับการบอกเล่าเรื่องราวคำตอบของการอยู่ผิดที่ผิดทางของสองวัฒนธรรม
โดยแฝงคติสอนใจทำให้หนังเรื่องนี้ประทับใจในวัยเด็กของหลายๆคน ( ส่วนภาคหลังๆนี่ ออกทะเลไปละครับ )
2. Formalism คำพิพากษาของมหาสมุทร ผลงานลำดับที่ 5 ของ เป็นเอก รัตนเรือง
หนังถ่ายทอดบรรยากาศ ความเหงา และความผิดบาปของตัวเอกของเรื่อง ภาพที่ถูกถ่ายทอดในแต่ละเหตุการณ์
ทำให้ผู้ชมอิ่มกับบรรยากาศภายในหนัง เหมือนนั่งดูชีวิตจริงของคนคนนึงเลยทีเดียว
3. Classical cinema The Matrix
นอกจากความบันเทิงจากเปลือกของหนังแนวแอ็คชั่นไซไฟ ของเมทริกซ์ ซึ่งหากถอดสมการต่างๆที่หนังได้ใส่เอาไว้
ก็มีความเชื่อในหลักปรัชญาเกี่ยวกับศาสนาพุทธเข้ามาเป็นส่วนประกอบด้วย
ในเรื่อง ได้เปรียบเทียบ มิสเตอร์สมิธ เป็นดังกิเลศที่ยิงกระสุนกิเลสใส่ นีโอ นั่นคือความคิดของกิเลสที่เข้ามาจะเกาะกินเรา
ส่วนนีโอได้อาศัยการฝึกจนจับกระสุนของสมิธได้ นั่นคือ การวิปัสณาญาณ
คือจับความรู้สึกความคิดปรุงแต่งที่เข้ามาเกาะกินจิตใจเราทำให้เกิดกิเลส เมื่อเกิดกิเลสก็ทุกข์ ขอแค่ฝึกจิตและรู้เท่าทันความคิด
อะไรก็ไม่สามารถทำอะไรจิตใจเราได้ หากเราฝึกจิตในการจับความ
ทุกข์ที่เข้ามากัดกินใจเรา.........ในคลิปนาทีที่ 7.50
ซึ่งหนังได้แฝงความเชื่อและปรัชญาของโลกฝั่งตะวันออกไว้มาก จนเกิดสไตร์ที่น่าสนใจ ซึ่งนัยยะที่แฝงไว้ของหนังเรื่องนี้
ถูกเขียนบทขึ้นมา โดยได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์ปรัชญาพุทธสายมหายาน ทางธิเบต
ตอนฉากที่มอร์เฟียร์ซ ให้นีโอเลือกว่า จะเลือกกินยาเม็ดสีแดง หรือสีน้ำเงิน อันนี้สะท้อนแนวความเชื่อของพุทธ
ที่ศรัทธาในการ "เลือกกระทำ" ไม่ใช่พึ่งพาแต่ชะตาชีวิต เพราะนีโอ หรือมิสเตอร์ แอนเดอร์สัน ไม่ชอบความคิดเรื่องโชคชะตา
เขาจึงมีสิทธิเลือกกระทั่ง จะตื่นขึ้นเพื่อเรียนรู้ความจริงของชีวิต หรือจะกลับไปฝันในโลกเดิมต่อไป
ฉากหนึ่ง มอร์เฟียร์ซ พานีโอ ไปหา Oracle เขาบอกนีโอก่อนเข้าประตูว่า
"ผมเป็นแค่คนบอกทาง แต่คุณคือคนที่ต้องเดินไปบนทางนั้นเอง" ซึ่งประโยคทำนองนี้ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้
จะศีล ก็ดี สมาธิ หรือปัญญาก็ดี เราแจกกันไม่ได้ ทำแทนกันไม่ได้ จะมีได้ ก็ต้องสร้างเอาเอง ด้วยตัวเอง
พระท่านจึงกล่าวประโยคที่เราเคยได้ยินเสมอว่า
"อัตตาหิ อัตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน กับตอนที่เขาซ้อมสู้กันมือเปล่าซึ่งนีโอสู้ไม่ได้ แล้วมอร์เฟียร์ซ บอกว่า
"Don't THINK you can beat me, just KNOW" ( "อย่า 'คิด' ว่าคุณเอาชนะผมได้.. จง 'รู้' ว่าคุณทำได้ " )
แล้วก็บอกว่า
"Stop trying to hit me and hit me.." ( "หยุด 'พยายาม' จะซัดผม และซัดเลย" )
ที่มา http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aston27&month=08-10-2006&group=2&gblog=76
หากผิดพลาดยังไง รบกวนชี้แนะด้วยนะครับ
hana_animation@hotmail.com [ แก้ไขล่าสุดโดย hana เมื่อ 2012-02-04 16:02 ]