.....ขอย้อนกลับไปในอดีต 10 ปีที่ผ่านมา....
ที่ประเทศเกาหลี ใครๆก็รู้ว่า เป็นประเทศที่ไม่มีอะไรเด่นเลย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือทรัพยากรทางธรรมชาติ
ก็ไม่สามารถสู้ประเทศเพื่อนบ้านได้ ทางเกาหลีก็เลยคิดค้นที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศของตนเอง โดยให้เอกชนใครก็ได้ที่จะสร้าง หนัง ละคร หรือศิลปินนักร้อง ซึ่งทางรัฐบาลจะให้การสนับสนุนเป็นจำนวนเงิน 50%. จากที่เอกชนลงทุนไป
หรือ 100% เต็มถ้าสมารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้ จึงทำให้เกิดกระแสเกาหลีฟีเวอร์ ไปยังประเทศต่างๆรวมทั้ง
สาวไทยก็โดนด้วย. หนังละคร เมื่อคนดูติด ดาราก็พลอยมีชื่อเสียง ไปโชว์ตัวที่ประเทศไหนก็นำเงินกลับประเทศ รวมถึง
ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในเกาหลีด้วย เพราะคนดูอยากไปอยู่ในสถานที่จริง ตามเนื้อเรื่องในหนังละคร...
.... ศิลปินนักร้องเกาหลี จัดคอนเสริ์ตขายบัตรในกรุงเทพฯ ใบละ6,000 เต็มจนเสริม เพราะสาววัยรุ่นไทยคลั่งไคล้
จนนักร้องเกาหลีเองยังงง..( เริ่มอิจฉาล่ะซิ...)
ใครที่มีอาชีพผลิตสารคดีคงรู้ดี ถึงความชอกชำ้ใจ ที่อุตสาห์ทุ่มเทใจให้กับงานคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อุปกรณ์ที่ดี การถ่ายทำตัดต่อหามรุ่งหามคำ่ ยังไม่นับรวมถึงรางวัลต่างๆที่ทางรายการได้รับ แต่ช่างน่าตกใจ ที่ไม่มีสปอนด์เซอร์ให้การ
สนับสนุน ด้วยเหตุผลที่เรตติ้งคนดูน้อย ..( ไม่นับรวมถึงรัฐบาลที่ไม่ช่วยอยู่แล้ว) แถมค่าใช้จ่ายในการผลิตก็สูงด้วย....
......ผิดกับรายการบันเทิงที่บางรายการแทบไม่ต้องลงทุนอะไร แต่คนทั้งประเทศติดกันงอมแงมต้องดูให้ได้ทุกวัน
(ใครนึกออกบ้างคับ) ก้อรายการเอเอฟไงคับ ช่วงนั้น ทุกเย็นคนต้องมานั่งรอหน้าทีวี เพื่อดูว่า วันนี้ใครด่ากับใคร ใครอยู่
ใครจะไป หรือว่าจะมีใครเข้ามาเสริมอีกหรือไม่. แค่นี้นะ..โอพระเจ้าจอร์ช .. นายแน่มาก ที่ทำให้คนดูติดกันงอมแงม...
...... สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้ก็คือ ไม่เกิน 4 ปีข้างหน้า คุณจะได้เห็นคนจีนขึ้นไปรับรางวัลลูกโลกทองคำที่ฮอลลีวู๊ด
เพราะตอนนี้ประเทศจีนได้ว่าจ้าง มืออาชีพที่ได้รางวัลมาเปิดสอนเป็นการเฉพาะโดยตรง ให้กับคนจีนในทุกสายอาชีพนั้นๆ..
เช่น ว่าจ้างนักออกแบบกระเป๋าอิตาลีมาเปิดสอนทำกระเป๋า,นักออกแบบเสื้อผ้าฝรั่งเศส, นักออกแบบทรงผม, ฯลฯ
เพื่อสอนให้คนจีนผลิตสินค้าและกำหนดตลาดได้เองเหมือนทางยุโรป ( ตามรอยเกาหลีเด๊ะ ทำมา4 ปีแล้ว) เคยติดตาม
ข่าวเห็นคนจีนชนะเลิศออกแบบทรงผมระดับโลก กวาดมาหลายรางวัลแล้ว...วงการหนังคุณก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงด้วย..
. .....นี่คือข้อความที่ผมโพสไว้ในกระทู้อื่น เลยนำมาย้อนเหตุการณ์ของพวก 18 มงกุฏไว้ให้พอมองภาพออก...
ด้วยเหตุที่ประเทศเกาหลีทำวิธีนี้แล้วประสบความสำเร็จ เลยทำให้มีประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง เช่น มาเลย์, อินโด ฯลฯ
เข้ามาติดต่อยังประเทศไทยให้ทำละครผสมท่องเที่ยวในประเทศของเขา ( แฝงการท่องเที่ยว เมื่อหนังประสบความสำเร็จ
ก็จะมีคนเข้ามาเที่ยวประเทศเขา ) โดยอาจได้งบจาก ททท. ในประเทศตัวเอง โดยมีข้อแม้ว่า ( อ่านแล้วอยากทำมาก )..
.... อยากได้ดาราในประเทศไทย ระดับ บี หรือ ซีก็ได้ ( คือไม่ดังมาก )
.... ให้ทำ 30 ตอนอย่างต่ำ ( โดยประมาณ )
.... ต้องถ่ายทำในประเทศเจ้าของเงินเท่านั้น ( อยากไปอยู่แล้ว )
..... ค่าใฃ้จ่ายในการขนอุปกรณ์ หรือหาเช่า รวมถึงบุคลากร ประสานงานให้ ( อาจออกหรือไม่ออกให้แล้วแต่ตกลง )
.... ค่าใฃ้จ่ายทั้งสิ้น ตอนละ หนึ่งแสนบาท ( โดยประมาณ )
...... เมื่อทำเสร็จแล้วส่งไปให้ประเทศเขา 1 ชุด
...... และต้องทำการออนแอร์ในประเทศไทย จะเป็นเคเบิ้ลโนเนมหรือฃ่องที่ไม่มีคนดูเลย ไม่สนใจ เพียงแต่เอาหนังสือรับรอง
ส่งมายังประเทศเขาว่าได้ทำการ ออนแอร์ไปแล้วเท่านั้น...
อ่านมาก็อยากทำแล้ว ข้อนี้ซิเด็ด
.......ไม่สนใจบท เนื้อหาใดๆ ต้องการเพียงแต่ พาเที่ยวในสถานที่ของประเทศเขาให้หมดเท่านั้น.. ( ไม่ปรับแก้บทอิสระคนทำ )
จะว่า 18 มงกุฏก็ไม่เชิงนะ ดูๆไปเขาก็ได้รับประโยชน์เยอะ ถ้าคนไทยดูแล้วติดตามไปยังสถานที่ต้นเรื่อง ( คิดบวกก่อนคับ )
แต่ปัญหามาเกิดที่ประเทศเรา ที่คนทำอย่างพวกเรามักไม่รู้ และคิดไม่ถึง...
....... เมือคุณทำหนังเสร็จคุณส่งไปยังประเทศเขา คุณต้องมีรายรับรายจ่ายเป็นค่าภาษี ( รายได้จากการขายหนัง เห็นว่าสูงอยู่ )
ยังไม่หมดแค่นั้น อาจเจอภาษีย้อนหลังที่คุณได้รายได้จากการรับจ้างทำอีก..( ปิดบังไม่ยื่นตอนผลิตในประเทศ )...
....... และยังไม่หมดแค่นั้น คุณต้องนำหนังกลับมาฉายในบ้านเราอีก เจอภาษีซื้อเขามาจัดฉายทำกำไรอีก ไปบอกใครจะเชื่อว่าหนังคุณ
ผลิตส่งออกไปขาย แล้วนำกลับมาฉายใหม่ ....( โดยไม่ทำกำไร )
ข่าวว่ามีรุ่นพี่เคยรับทำงานนี้ กำไรตอนทำ แต่เจอค่าภาษีนำเข้าและส่งออก เจ๊งกระจาย ใครได้ข่าวเล่าสู่กันฟังหน่อยนะคับ..
ส่วนใครที่ยังไม่เคยทำ แนะนำว่าอย่าทำนะคับ ห่วงใยคนอาชีพเดียวกัน ไม่อยากให้ตายทั้งเป็นนะคับ.. ( โดนฟ้องล้มละลาย ).. [ แก้ไขล่าสุดโดย p0p-it เมื่อ 2011-11-25 11:46 ]