อ้างอิง
ไม่ทราบว่าโปรแกรมตัวไหนที่ดี ใช้งานไม่ยากเกินไป และมีหนังสือหรือข้อมูลเยอะๆ ช่วยแนะนำด้วยครับ
ระดับ Home Use : เน้นที่การใช้งานที่ง่ายจริง ๆ สามารถนั่งเล่นกับมันสักพักแล้วเข้าใจได้เลยโดยไม่ต้องเปิดคู่มือ ถามหาความสามารถก็ไม่ได้น้อย มีครบหมดตามมาตรฐานที่งานตัดต่อจะต้องมี ตั้งแต่ แคปเจอร์ ดึงไฟล์ ตัดหยาบ ตัดละเอียด พากษ์เสียง วางเพลง มิกซ์เสียง (บางตัวเป็นเซอร์ราวด์) ใส่ทรานสิชั่น วีดีโอเอฟเฟกต์ ไตเติ้ล แก้สี ทำดีวีดี-บลูเรย์ หรือ ส่งออกไปเว็บ มือถือ หรือ รูปแบบอื่น ๆ ที่หลากหลาย ... เรียกว่าอยากได้อะไรมากกว่านี้ก็นึกยากแล้ว การทำงานก็แสนง่าย จบงานได้สวยและรวดเร็วจากแบบสำเร็จรูปที่มีมากมาย ...
Pinnacle Studio (Avid) , Ulead Video Studio (Corel) สองตัวนี้เป็นคู่กัดเก่าแก่ มุ่งเน้นไปที่การทำงานที่แสนง่ายที่สุด แต่มีอะไรซ่อนอยู่มากมาย ส่วนในวงเล็บหมายถึงค่ายที่สังกัดอยู่ปัจจุับัน ...
Adobe Premiere Element, Sony Vegas Movie Studio สองตัวนี้สิ่งที่คล้ายกันคือ ถอดแบบหน้าตาและวิธีการทำงานมาจากรุ่นโปร (Adobe Premiere Pro, Sony Vegas Pro) หน้าตาจะออกดุน่ากลัวสำหรับมือใหม่อยู่สักหน่อย แต่ถ้าอยากที่จะเล่นวันนี้เพื่อปูทางไปสู่อนาคตก็น่าลอง ...
ในระดับ Home Use ยังมีอีกหลายตัวครับ ที่นึกได้ น่าจะเป็น CyberLink PowerDirector ตัวนี้ก็น่าสนใจ แม้จะดูเป็นรองตัวอื่นอยู่พอสมควร หรือ ในฝั่ง Mac ก็จะมี iMovie ซึ่งใช้ง่ายไม่แพ้กัน ...
ระดับ Professional : เน้นการทำงานในระดับอาชีพ สามารถจัดการกับโปรเจคต์ใหญ่ ๆ ได้ดี ให้คุณภาพระดับออกอากาศ หรือ มากกว่า, มีการอัพเดตให้รองรับอุปกรณ์ระดับ professional ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา, มีฟังชั่นการทำงานละเอียดซับซ้อน มีความเข้ากันได้กับโปรแกรมอื่น ๆ ที่ใช้ในกระบวนการโพสต์โปรดักส์ชั่น ... โปรแกรมในกลุ่มนี้มักมีการทำงานไปในทางเดียวกัน ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ณ. ปัจจุบันไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ เรียกว่าสามารถจบงานได้คล้าย ๆ กัน และ ที่แน่นอนคือ ต้องใช้เวลาเรียนรู้ทำความเข้าใจกันพอสมควร ทั้งการใช้โปรแกรม และ ความรู้เชิงเทคนิคในงานวีดีโอ ประกอบกันไป ...
Avid Media Composer ตัวนี้ถือเป็นมาตรฐานในงานตัดต่อมาช้านาน เป็นโปรแกรมที่มีหน้าตาเรียบง่าย แต่แฝงไว้ซึ่งความสลับซับซ้อน ให้ความยืดหยุ่นในการทำงาน สิ่งที่โดดเด่นของ Avid คือ ความเสถียรในการทำงาน และ คุณภาพงานที่ดีมาก ๆ เนื่องจากมีการพัฒนา Codec เป็นของตัวเอง รวมถึงมีการพัฒนาฮาร์ดแวร์มาช่วยให้ทำงานได้เร็ว และ เชื่อมต่ออุปกรณ์ระดับ Professional ได้หลากหลาย, จุดที่เด่นมาก ๆ อีกย่างคือ ซอฟแวร์ทุกระดับของ Avid มีอินเตอร์เฟซเดียวกัน หรือ คล้ายกันมาก ทำให้ไม่ต้องเรียนรู้ใหม่หากจำเป็นต้องสลับไปใช้ซอฟแวร์รุ่นที่สูงหรือต่ำกว่า ...
Final Cut Pro ตัวนี้ Apple ซื้อมาอีกที พอมาเข้าคู่กับ Codec อย่าง Apple ProRes และถูกจัดชุดรวมไว้ใน Final Cut Studio ที่มีค่าตัวประหยัด แต่ทำงานได้หลายหลายตั้งแต่งานวีดีโอทั่วไปจนถึงฟิล์มความละเอียดสูง ก็โด่งดังจนฉุดไม่อยู่ มีพันธมิตรทางด้านซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์เข้ามาร่วมพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ การใช้งานก็มีความละม้ายคล้ายคลึงกับ Premiere Pro เหมือนถอดแบบกันมา ...
Adobe Premiere Pro ตัวนี้พัฒนามานาน ตั้งแต่ยุค DV ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ มีฐานผู้ใช้อยู่มาก รองรับฟอร์แมตต่าง ๆ ได้หลากหลาย ไม่ค่อยเกี่ยงเรื่องฮาร์ดแวร์ มีพันธมิตรร่วมพัฒนาอยู่เยอะที่สุดแล้วในบรรดาโปรแกรมตัดต่อทั้งหมด หนังสือ คู่มือ วีดีโอ อะไรต่าง ๆ นา ๆ ก็ถูกผลิตออกมากมาย หาง่าย แต่สิ่งนึงที่เป็นปัญหาคู่กันมาตลอดคือเรื่องความเสถียร ที่วันดีคืนดีก็มาสำแดงเดชกันเอาคืนก่อนส่งงานให้ได้ปวดหัวกันเล่นบ่อย ๆ จนทำให้คนที่โดนมากับตัวหรือได้ยินคำร่ำลือมาต่างพากันเบนเข็มย้ายค่ายกันทีเดียว เรียกว่าเจ็บนี้ครั้งเดียวเกินพอ ...
Thomson GrassValley Edius ผู้ผลิตเดิมคือ Canopus ซึ่งพัฒนาฮาร์ดแวร์ให้ Premiere เป็นหลัก คงจะเล็งเห็นว่า ควรจะพัฒนาโปรแกรมตัดต่อเพื่อให้สามารถดึงความสามารถของฮาร์ดแวร์ตัวเองออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด แทนที่จะไปพึ่ง Premiere ซึ่งบางทีไว้ใจไม่ค่อยได้ ก็เลยถือกำเนิดซอฟแวร์น้องใหม่ชื่อ Edius ซึ่งก็พัฒนาความสามารถให้มากขึ้นตามลำดับ จนในที่สุดคงไปเต่ะตา GrassValley บริษัทใหญ่ในวงการ Broadcast อีกเจ้าเข้า เลยซื้อตัวเอาไว้ ... ซึ่งก็แน่นอน เมื่อใช้ Edius ร่วมกับฮาร์ดแวร์ของ Canopus เลยมีคำกล่าวว่า ลื่นหัวแตก แ้ม้ว่าตัวซอฟแวร์เองจะต้องได้รับการพัฒนาต่อเนื่องเพื่อให้ทันเจ้าอื่นอยู่อีกมากก็ตาม ...
Sony Vegas Pro แต่อ้อนแต่ออก Vegas เป็นของผู้ผลิต Sonic Foundry ซึ่งผลิตซอฟแวร์ทางด้านเสียงและดนตรีเป็นหลัก เช่น Sonic Sound Forge, Sonic Acid Pro แล้วคงจะคิดว่าผลิตภัณฑ์ของตนเองควรจะมีความสามารถด้านวีดีโอด้วย ก็เลยเริ่มด้วยการพัฒนาโปรแกรมเสียงของตนให้รับวีดีโอได้ด้วย จนต่อมาพัฒนาแยกออกมาเป็น Vegas Video แต่ยังคงหน้าตาไว้คล้ายกับโปรแกรมทำเสียงหลักของตน ทำให้ Vegas เป็นโปรแกรมตัดต่อที่มีหน้าตาแปลกไปกว่าโปรแกรมตัดต่ออื่น ๆ พร้อมกันนั้นก็มีจุดเด่นคือ เป็นโปรแกรมตัดต่อวีดีโอที่มีความสามารถเรื่องเสียงดีมาก และ จุดเด่นอีกข้อหนึ่งที่ชัดเจนไม่แพ้กันในทุกผลิตภัณฑ์ของ Sonic คือ ใช้งานได้ง่าย และ คล่องตัวมากจนเหลือเชื่อ ... คงเหตุผลนี้ด้วย ที่ทำให้ Sony ซื้อ Vegas มาจาก Sonic Foundry แล้วพัฒนาเสริมเขี้ยวเล็บหลาย ๆ ส่วนเข้าไป เพื่อให้รองรับกับกล้องฟอร์แมตใหม่ ๆ ของตนเองได้เป็นอย่างดี จนทำให้ผู้ใช้ที่เริ่มเข้าสู่ระดับโปรหันมาใช้กันแพร่หลายขึ้น ในทางกลับกันกลุ่มโปรเดิม ๆ มักไ่ม่ค่อยให้ความสนใจหรืออาจจะไม่มั่นใจที่จะนำมาใช้ อาจเพราะด้วยหน้าตาและวิธีการทำงานที่แปลกต่างจากมาตรฐานเดิม ...
ในระดับนี้ความจริงมีอีกหลายโปรแกรม เช่น Pinnacle Edition (Avid), DPS, Media 100, Speed Razor, Newtek SpeedEdit ฯ บางตัวก็ล้มหายตายจากไป บางตัวก็มีใช้กันเฉพาะกลุ่ม แล้วเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ ...
ระดับ Enterprise : ผมใช้เรียกโปรแกรมตัดต่อที่เหนือจากระดับ Professional ขึ้นมา ลักษณะคือ จะไม่ได้เป็นโปรแกรมที่ทำงานเดี่ยว ๆ แต่ผสานกันเป็นระบบ มีผู้ใช้ทำงานร่วมกันเป็นจำนวนมาก เช่น พวกห้องข่าว สถานีโทรทัศน์ โปรดักส์ชั่นเฮาส์ใหญ่ ๆ ที่รับงาน ทีวี โฆษณา ภาพยนต์ ระดับทุนสูง ๆ ... ระบบจะมาพร้อม Software + Hardware ที่เีรียกว่า Turnkey ขายพร้อมสัญญาบริการรายปี รวมถึงการ Training ด้วย ...
Avid : ตัวที่ทำหน้าที่ตัดต่อในระบบคือ Avid Media Composer และ Avid Symphony
Autodesk : ตัวที่ทำหน้าที่ตัดต่อในระบบคือ Autodesk Smoke
Quantel : ตัวที่ทำหน้าที่ตัดต่อในระบบคือ Quantel iQ/eQ
ข้อน่าสังเกตุ : หากโฟกัสไปที่ Avid จะเห็นว่า มีผลิตภัณฑ์อยู่ครบทุกระดับเลย แล้วนอกเหนือจากความเป็นมาตรฐานในงานตัดต่อ หรือ ด้านภาพแล้ว Avid ยังเป็นเจ้าของโปรแกรม Pro Tools ซึ่งทางฝั่งสตูดิโอซาวด์-ดนตรีจะถือ Pro Tools เป็นมาตรฐานของวงการ รวมไปถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ที่ผลิตโดย DigiDesign และ M-Audio ซึ่งอยู่ภายใต้ Avid ทั้งหมดอีกด้วย ... เมื่อมองหลาย ๆ ด้าน ด้วยความเป็นมาตรฐาน, ความหลากหลาย, ความเข้ากันได้เองในกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทำให้ Avid ดูมีศักยภาพมากทีเดียว การได้มีโอกาศเข้าไปศึกษาโปรแกรมของ Avid ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดูมีอนาคตเลยทีเดียว ... แม้ว่าความจริงแล้วความสำเร็จของงานจะอยู่ที่มนุษย์ผู้รังสรรค์เป็นหลัก แต่การได้เครื่องมือดี ๆ ระบบดี ๆ ก็ทำให้งานนั้นลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น ทำงานได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น มีคุณภาพมากขึ้น ...
ปล. หยิบยกขึ้นมาเท่าที่จะนึกออกได้ครับ หากมีผิดพลาดคลาดเคลื่อนช่วยชี้แนะด้วย ...
[ แก้ไขล่าสุดโดย vfspostwork เมื่อ 2011-01-09 03:49 ]