คิดยังไงกับ VDO Wedding ของลูกค้าที่เปิดมามีแต่ แต่งตัว แล้วก็ แต่งตัว

ไม่เคยทำเลย เว็ดดิ้งแต่งตัว เข้าใจว่า มันคือแพ็คเกดของร้านเว็ดดิ้งเขา หมายความว่า เขาขายควบชุด แต่งหน้า และรวมถึงการจัดงาน ทำพรีเซ็นต์ นึกดูว่า ถ้าไม่เอาตอนแต่งตัวมาใส่ หรือตอนแต่งหน้าแล้ว จะเอาภาพอะไรมาใช้ ถ่ายภาพนิ่งก็รวมถ่ายวีดีโอไปด้วยอยู่แล้ว และก็เอาภาพนิ่งมาทำเอฟเฟคลงในวีดีโอ ภาพไม่พอก็เอาตอนลองชุด แต่งตัวมาใส่ เพื่อให้ได้เวลาพอ อย่าลืมนั่นคือต้องทำไว้เปิดในงานก่อนงานเริ่ม ภาพเหตุการณ์จริงไม่มีนะครับ ( อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ในการถ่ายรูปอัลบั้มเขาก็มีหลายราคา เกิดลูกค้าเลือกแบบถูกสุด ถ่ายภาพมาไม่กี่ภาพ จะเอาภาพที่ไหนมาทำล่ะครับ )แต่ถ้าทำมิวสิค
โดยเอาภาพงานจริงมาตัดใส่ เช้าหมั้น เย็นเลี้ยง จบที่ห้องด้วยความสุข   นั่นหมายความว่าทางร้านจะต้องเสียคอสนี้อีกจมเลย ในการต้องมาทำตอนหลังงานเลิก เลือกภาพให้ลงกับเนื้อเพลง   .. ส่วนตัวคิดนะครับ...แม้นวีดีโอเปิดในงานจะมีภาพไม่ชอบบ้างแต่ดูๆก็โอเคโดยรวมๆ ได้มาฟรีไม่เสียตังค์
ลูกค้าก็คงโอๆไปละครับ....

หลายวันก่อนเพิ่งคุยเรื่องนี้ไปกับอีกสองท่าน ได้ความเห็นมาว่า งานไทยเนี่ยพิธีการมันไม่มีอะไรเลย ไม่สวย ไม่หวือหวา ไม่ตื่นเต้น  ถ้าได้เวดดิ้งแพลนเนอร์ที่เจ๋งๆ งานเริด ๆ ก็จะสบายหน่อย มีอะไรในงานให้โชว์บ้าง แต่ถ่าไม่ ก็เน่า  ช่วงแต่งหน้า แต่งตัว มันมีอะไรให้ถ่าย ให้เล่น มีเวลาหาช็อต เจาะ เลือก ปั้น แต่งมากมาย โอกาสที่จะได้ภาพสวยมันก็สูงไปด้วย แต่ในช่วงงาน พิธีการ ทุกอย่างเร่งรีบ คนเยอะ วุ่นวาย มันไม่มีเวลามานั่งปั้นนั่งแต่ง

ได้ความมาประมาณนี้

ถ้าถามผม ผมก็คิดเหมือนเจ้าของกระทู้ที่ว่า ทำไมต้องเปิดด้วยการแต่งหน้า แต่งตัว เป็นแพตเทิร์น เหมือนที่โน็ตอุดมพูดถึงเรื่องงานแต่งของคนไทยเอาไว้นั่นแหละ ถ่ายรูป พูดซึ้งๆ เปิดวีดีโอ มีผู้มีอันจะกิน นักการเมืองมาพูดอะไรยาวเหยียด ตัดเค้ก ร้องให้ เมา เหมือนกันทุกงาน

ผมก็คงบอกว่า มันเกิดจากการดูงานของคนอื่น ทั้งงานนอก งานใน จนเกิดการเลียนแบบในสามัญสำนึก แล้วทำติดต่อกันมาเรื่อยๆโดยที่เห็นว่ามันเป็นสิ่งดี งาม และสวย พอมาทำงานเอง ก็จะถ่ายตามเรฟเฟอร์เร้นท์ ที่คนถ่าย คนตัดได้ดูมา ประมาณนั้น

อีกอย่างก็คือลูกค้า ได้ดูงานคนอื่นแล้วอยากได้บ้าง ก็จะบอก ผู้ผลิตให้ทำงานตามที่ตนอยากได้ เพราะเห็นว่ามันดี ตามๆกัน ดังจะมีหลายท่านบ่นว่า หลุดอีกแล้ว เกินจากงานที่คุยกันไว้อีกแล้ว

อ้อ อีกข้อนึงที่ลืมไม่ได้ครับ อะไรที่คนจำนวนมากทำเนี่ย มันมักจะถูกและดีเสมอ แม้มันจะไม่ถูกและไม่ดีจริงๆก็ตาม มันก็จะถูกและดี เพราะว่าคนทำกันเยอะ ดังนั้น ถ้าเราไม่อยากผิด เราต้องทำตามคนอื่น 555

อันนี้ของผมไม่มีแต่งหน้าเลย

ผมว่ามันคือลำดับขั้นตอนทางพิธีการมากกว่า คือลูกค้านัดงานเย็น ตอน15-16.00 น.ไปถึงเค้าก็แต่งหน้ากันอยู่ แล้วจะให้ผมเอาตอนแต่งหน้าไปใส่ตอนจบหรือตรงกลางมันก็แปลกอยู่ นะหรือผมต้องไปเร็วกว่าเดิม ซัก 13-14.00 น ซึ่งอาจจะได้ฉากเปิดเป็น ลูกค้า 2 คน เจ้าบ่าวเจ้าสาว นัวกันอยู่ในห้องสุดหรูในโรงแรม 5 ดาวแห่งหนึง (มันจะดีหรอ)  สรุปง่ายๆ มันคือลัมดับขั้นตอนทางพิธีการครับ ว่าตั้งแต่เราไปถึงตัวลูกค้า เค้าเริ่มทำไรกัน หรือถ้าใครอยากทำแนวใหม่ เล่าย้อน ตั้งแต่ส่งแขกกลับ จนถึงแต่งหน้าก็ลองดู ครับ แปลกดี

อ้างอิง

อ้างอิงโพส 13 ต้นฉบับโพสโดย nate เมื่อ 2010-12-03 09:00  :


บางครั้ง "ยำรวมมิตร" นี่ก็อะไรเหมือนกันนะครับ ฮ่าๆๆๆ  

เน้นฮาครับ เพราะ ลูกค้าเองก็อยากให้แขกที่มางาน ได้คลายเครียดและจดจำพวกเค้าไปอีกนาน เพราะเค้าเองก็บอกว่า ไม่อยากจะจำเจ เอาฮาเลยล่ะกัน
ขอบคุณมากครับที่ ให้ความสนใจในตัวงาน

ขอเร่ิมตอบจากคำถามก่อนนะครับ....
คิดยังไงกับ VDO Wedding ของลูกค้าที่เปิดมามีแต่ แต่งตัว แล้วก็ แต่งตัว


ขอตอบว่า ถ้ามันมีแค่นั้นก็คงจะเสียดายเงินที่จ้างไปแหละครับ 


******************************************************************************
ขอเสริมเพิ่มความเห็นส่วนตัวด้วยละกันครับ
ผมว่า....งานแต่ละงานมันก็จะมีรูปแบบของมันอยู่นะครับ เช่น ละคร ภาพยนต์  พรีเซนเทชั่นองกรณ์
และ แต่ละงานก็จะต้องสื่อสาร เรื่องราว ตามที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อ....เช่น ภาพยนต์ ก็น่าจะเป็นผู้กำกับ(อาจรวมถึงนายทุน)
แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น  สิ่งที่น่าจะสำคัญที่สุด คงต้องเป็น  เรื่องราว แหละครับ


คราวนี้มาลองดูงาน Wedding บ้างนะครับ ( เอาที่ผมสังเกตเองนะครับ )
Wedding Presentation -- Pre-wedding -- Wedding VDO(on wedding day) .... etc 
3 อย่างที่ยกมา เรื่องราว ก็แตกต่างกันพอสมควรแล้วครับ
คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับ วิธีการสื่อสาร การถ่ายทอดเรื่องราวของแต่ละคู่ ของแต่ละคนหละครับ




มากล่าวถึงคำถาม....ผมว่า การแต่งตัว น่าจะอยู่ใน Wedding VDO(on wedding day) นะครับ
เรื่องราว ของส่วนนี้ก็คงจะต้องสื่อสารเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันแต่งงานแหละครับ คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ขอยกตัวอย่างที่คิดออกนิดนึงครับ....

• ถ้าจะให้ซึ้งหน่อย ก็อาจจะต้องเริ่มต้นด้วยบรรยากาศของพระอาทิตย์ขึ้น  นกเคียงคู่กันบินออกไปจากรัง ผีเสื้อดูดน้ำหวานจากดอกไม้

      หรือจะเอา สารพัดสัตว์มาเพิ่มอีกก็ได้....แต่มันจะเป็น wedding ไม๊....ลูกค้าจะเป็นคนตัดสิน

• ถ้าจะเอาให้แปลก  ก็อาจจะเริ่มจากการไปถ่ายงานสละโสดของเจ้าบ่าวที่มีภาพการเมามาย การโชว์ของหญิงเปลื้องผ้าก็ได้(ถ้ามี)  หรืออื่นๆ

แต่การเก็บบบรยากาศในวันแต่งงาน (Client's Big Day)น่าจะเป็นหัวใจสำคัญที่สุด คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครทำออกมาได้ดีหรือไม่ดีหละครับ

การแต่งหน้า...แต่งตัว ไม่ใช่ทั้งหมดของงานแต่งงานแน่นอนครับ   การสร้างสรรมุมมอง ถ่ายทอดบรรยากาศ ให้ออกมาก็ขึ้นอยู่กับ มุมมองของแต่ละคนแหละครับ


หากถ้าได้ไปถ่ายงานบวช....ถ้าเป็นผม  ผมก็คงเก็บภาพ กรรไกร  พานพุ่ม การโกนคิ้ว โกนหัว มาด้วยแหละครับ 

นั่งฟังอย่างตั้งใจ อิอิ

ลูกค้า คือ พระเจ้า

บอกตรงๆ ผม "เีอียน" มากๆ ครับ ไปกี่งานๆ เหมือนกันทุกงาน แค่เปลี่ยนตัว "เจ้าบ่าว" "เจ้าสาว" แค่นั้น...

แต่.. ก็ทำใจได้ว่ามันเป็น commercial art ต้องสนองความต้องการลูกค้า

เราทำเจ๋ง ทำแหวก แค่ไหน แต่ถ้าคนจ้างไม่ชอบก็จบ...

ปัญหา โลก แตก ครับ

แล้ว แต่ มุม มอง

ถ้าผมจะสรุปทุกอย่างมาลงที่คำว่า  " ครั้งหนึ่งในชีวิตของเค้า "
ไม่รู้ว่าพอจะได้ไหม

คืออย่างที่หลายๆความเห็นบอกแหละครับ
เราเห็นกันบ่อยจนชินจนมีความรู้สึกว่ามันไม่มีอะไร
แต่สำหรับเค้า 2 คนมันคือช่วงเวลาของความสุข
เรียกว่าเป็น " ประวัติศาสตร์ " สำหรับเค้าเลย

ผมว่าเราน่าจะดีใจและภูมิใจนะครับ
ที่เค้า  " ไว้ใจเรา " ให้บันทึกประวัติศาสตร์และเรื่องเล่ามีชีวิตเหล่านั้น

อะไรก็ได้ที่คู่บ่าวสาว "ยิ้ม + happy" ครับ

ไม่รู้ว่าคิดยังไงนะครับ แต่ผมถ่าย ช็อตแบบนี้กับลูกค้าทุกคู่ เค้าก็ประทับใจครับ

ตอบแบบตลกนะครับว่า (ในมุมคนตัดต่อ)
"ก็พอเปิดฟุทเตจมาก็เจอ แต่งหน้าก่อนอ่ะ ก็เลยลากมาวางก่อน"
ก็ถ้าตากล้องถ่ายอันอื่นก่อนก็ผมคงเปิดด้วยอันนั้นแหละครับ 55

อีกอย่างงานแต่งที่จัดแบบใหญ่มาก ทีมจัดงานดี เจ้าสาวสวยจะถ่ายมาสวยงามจริงๆ

งานที่ไม่ได้เปิดด้วยแต่งตัว และยังติดตาผมจนทุกวันนี้
ก็คืองานของพี่ท่านนึงในนี้แหละครับ www.Gorgai.net งานที่มี จุ๋ยส์ จุ๋ยส์ มาร้องเพลงน่ะครับ
งานจัดได้ยิ่งใหญ่มาก เจ้าสาวก็สวยมาก
ผมนั่งดู เป็นวันเลย

สรุปแล้วว่าแต่มุมมองครับ มุมของลูกค้า , มุมคนทำ , หรือมุมคนที่สามครับ ต่างกันหมดครับ

ตามใจลูกค้าครับ

มันก็เหมือนน้ำละครับ  กินไม่อร่อยยังไงมันก็ต้องกิน หรือจะไปกินก็ลองกินโค๊กแทนละกันนะ หรือใครอยากจะกิน โออิชิก็ไม่ว่ากัน
เกี่ยวกันมั้ยเนี้ย