สมาชิก สถิติฟอรั่ม ธนาคาร
  • 39926เข้าชม
  • 30ตอบกลับ

เปิดซิง Blackmagic Cinema Camera กับงานจบหลักสูตรคร้าบบ

โพสต์
659
เงิน
24612
ความดี
22220
เครดิต
22966
จิตพิสัย
22999
จังหวัด
เชียงใหม่

— กระทำโดย ake โดยการย้ายจากกระดานข่าว Other vdo Camera : ผลงานส่วนตัว เมื่อเวลา(2014-08-04) —
ไม่ได้โพสซะนาน พอดีเพิ่งได้ เจ้า Blackmagic Cinema Camera มาครอบครอง ก็เลยอยากมาเล่าประสบการณ์การใช้งานกล้องตัวนี้ให้ฟังในรูปแบบ user review ที่ใช้ DSLR เป็นหลัก เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับสมากชิกหลายๆท่านที่กำลังสนใจกล้องตัวนี้

บทความนี้เป็นการรวบรวมความรู้จากแหล่งต่างๆ ที่ผมได้ศึกษามา ประกอบกับการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลนะครับ เชื่อว่าหลายๆท่านก็มีประสบการณ์แตกต่างกันออกไป เลยทำให้มีความคิดที่ต่างกัน อันนี้เข้าใจ ก็ถือว่ามาแชร์ความคิดกันนะครับ

สำหรับหลายๆคนที่ยังไม่รู้จักกล้องตัวนี้ จะอธิบายคร่าวๆ ว่า เป็นกล้องที่สามาถถ่ายได้ที่ 2.5 K (2400x1350px) มี Dynamic Range 13 stops (DSLRทั่วไป ประมาณ 10.5 stop) โดยถ่ายเป็นแบบ RAW  (Cinema DNG) ทำให้ได้ไฟล์ที่สามารถนำไปเกรดสีได้เต็มที่ หรือถ่ายเป็นแบบ APPLE Prores HQ หรือ DNxHD ที่ 1080p ตามปกติได้แล้วแต่จะเลือก ส่วนราคาก็ถือว่าไม่แพงเลย ราคาไทยอยู่ที่ 106000 บาท หรือพอๆกับ 5D MKIII ที่ใช้กันทั่วไป  กล้องตัวนี้เปิดตัวในงาน NAB  อย่าฮือฮาในปีที่แล้ว เพราะไม่มีใครคิดว่า บริษัทที่ขึ้นชื่อในการผลิตอุปกรณ์เสริมสำหรับกล้อง จะมาลงมือทำกล้องซะเอง แถม spec นี่แบบ shock วงการ เล่นเอา ค่ายใหญ่ๆสะอึกเป็นแถว ส่วนราคาที่ถือว่า ตากล้องธรรมดาอย่างเราๆ ก็สามารถจับจองได้ เลยมียอดสั่งจองเข้ามามากมาย แต่จนถึงทุกวันนี้ Blackmagic ยังสามารถผลิตกล้องได้น้อย ก็แน่หล่ะ นี่เป็นกล้องตัวแรกของ Blackmagic ระบบการผลิตเค้าไม่เสถียรเหมือน ค่ายใหญ่ๆที่ทำกล้องเป็นล่ำเป็นสันอยู่แล้ว ก็เลยเป็นแบบว่า คนมีตังจะซื้อ แต่ร้านไม่มีกล้องเข้ามาให้ขาย เลยกลายเป็นว่า มีกล้องนี้ออกมาให้คนได้ใช้น้อยมาก ณ ปัจจุบัน เท่าที่ผมทราบมา คนที่สั่งกล้องและจ่ายตังค์เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว เพิ่งจะได้กล้องไปใช้กัน เมื่อสิ้นเดือนที่ผ่านมา



ผมก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจอยากซื้อกล้องตัวนี้ เรื่องของเรื่องก็เพราะ เดือน พ.ค. นี้ผมมีงานใหญ่ ถ่ายทั้งเดือน และรู้ว่า  เจ้า 5D MK III ของผมเอางานนี้ไม่ไหวแน่เลย หลักๆคือต้องการกล้องที่ถ่ายได้สูงกว่า FUll HD จึงเริ่มมองหากล้องใหม่ กล้องที่ผมรับพิจารณามาใช้งานนอกจาก BMCC ก็ได้แก่

1.Red Scarlet X ไม่ได้จะลงทุนซื้อ แต่จะเช่ามา ซึ่งก็เช่าได้แต่ สุดท้ายเราจะได้กำไรจากงานน้อย หรือแทบจะเท่าทุน จบงานก็จบ กลับมายืนจุดเดิมก่อนเริ่มงาน ไม่ได้พัฒนาอะไรขึ้นมา

2.Canon 1Dc อ่านสเป็กแล้ว ถ่าย 4K แบบ log (profile ภาพ แบบ flat ที่เก็ยรายละเอียดมาให้มากที่สุด)  ได้ด้วยก็จริง ก็ถ่ายที่ MJPEG 8 bit ก็ยังเป็น compressed format วิ่งที่ 8 bit เหมือน DSLR อยู่ดี  แถมราคาแพงมหาโหด โหดแบบเว่อร์เกินไปสำหรับกล้อง DSLR ตัวหนึ่งที่มีโหมดถ่าย วีดีโอ ไม่คุ้มๆๆๆๆ

3.Canon 1DX รู้สึกไม่ต่างมากจาก 5D MKIII ที่มีอยู่ หรือส่วนที่ดีกว่า 5D MK III ก็ไม้ได้คุ้มค่ากับการลงทุนเพิ่มไปอีกเกือบ 200000 บาท แถมไม่ได้ถ่ายภาพนิ่งบ่อยๆ ซื้อมาไม่คุ้ม ให้ช่างภาพ wedding หรือนักข่าวเค้าใช้กันไปเถอะ เราขอ bye

4.Canon C100 น่าสนกว่า 1DX  แก้ไขปัญหาของ DSLR ไปหลายอย่าง ราคาก็ไหวอยู่ สามารถถ่ายแบบ log ได้ด้วย แต่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีกว่าเดิมมากขนาดที่ต้องลงทุนมากขนาดนั้น เพราะยังคงถ่าย Full HD h.264  8 bit เหมือนเดิม ที่แย่กว่าเดิมคือ bit rate วิ่งที่สูงสุด 25Mb เอง ทั้งๆที่ MK III วิ่งปกติที่ 90 mb  ใช้ MK III เหมือนเดิมดีกว่ามั้ยครับ

5.Sony Fs-700 ดูเหมือนจะเป็นกล้องที่ดีที่สุด ในบรรดากล้องที่กล่าวมา เพราะได้ประสิทธิภาพดีที่สุดทุกเรื่อง เรียกว่ายอดเยี่ยมกระเทียมดองเลย แต่ก็นะ ตัวกล้องเฉยๆก็ปาไป 3แสนกว่าๆ ไม่รวม accesory นู้นนี่นั่น จะถ่าย raw ก็ต้องเพิ่ม adaptor อีกเป็น 2 แสนบาท จะซื้อตัว record แยก AJA  ก็แพงสุดๆ ซื้อมาจบงานยังขาดทุนย่อยยับ จะเช่ามาก็กำไรน้อย

หลายคนอาจจะงง ว่าผมเป็นอะไรมากกับ h.264 หรือ 8 bit คือ มันเป็นเรื่องของขีดความจำกัดไฟล์ครับ


ฺBit depth คือช่วงความละเอียดของข้อมูลสีในไฟล์ โดยยิ่งลึกมาก ความสามารถไล่การไล่สี ไล่โทน ก็จะดีมาขึ้นตาม จะเห็นชัดๆก็ตอนที่ เกรดสีครับ ถ้าเราดึงสีฟุตเทจจากกล้อง dslr มากๆ การไล่สีของมันจะเป็น แถบๆ ชั้นๆ แทนที่จะค่อยๆ เกลี่ยๆ ไล่ๆ ไป   ไม่ลองทำก็ไม่รู้หรอกครับ เพราะฉะนั้น แม้กล้องจะสามารถถ่ายแบบ log ได้ก็ตาม ก็ได้เพียงแค่ระดับหนึ่ง ถ้า bit depth น้อย log นั้นก็มีค่าไม่มากเท่าไหร่

ถ้าอ่านแล้วงง ก็ดูจากภาพ ก็น่าจะเข้าใจมากกว่านะครับ




    8-bit   – มีความละเอียด 256 ขั้น
    10-bit —  มีความละเอียด1024 ขั้น
    12-bit —   มีความละเอียด 4096 ขั้น
    14-bit – มีความละเอียด 16,384 ขั้น
    16-bit – มีความละเอียด 65,536 ขั้น




สำหรับความสามารถของ 8-bit h.264 จาก กล้อง 5D MKIII VS 12-bit RAW จากกล้อง BMCC ให้ดูคลิบของพี่คนนี้ครับ เปิดโลกทัศน์อย่างแรง




ในส่วนของ h.264 มันคือ Codec หรือระบบการจัดการข้อมูลไฟล์วีดีโอนั่นเอง h.264 เป็น ระบบที่ได้รับความนิยมเพราะ เป็นระบบที่ให้ภาพ คมชัด ok  แถมใช่้พื้นที่น้อย เหมาะสำหรับการ แชร์ บนอินเตอร์เน็ต แต่มันก็ไม่เหมาะสำหรับการนำมาเป็นไฟล์ต้นฉบับที่จะนำมาตกแต่ง ตัดต่อภาพเพิ่มเติม เพราะรายละเอียดต่างๆถูกลดลง เพื่อรักษาความจุให้น้อยเข้าไว้ และการบีบอัดข้อมูลนี้ยังส่งผลให้ โปรแกรมตัดต่อในยุคก่อนๆ แฮงค์ หรือ กระตุก บ่อยๆ เพราะคอมพิวเตอร์ต้องทำหน้าที่แตกข้อมูลที่ถูกบีบอัดนั้นออกมา เพื่อ playback ให้เราได้เห็น


เพราะฉะนั้น การที่เราเริ่มต้นทำงานกับไฟล์ที่มี codec แบบที่ไม่ได้ถูกบีบอัดข้อมูลมา (uncompressed) หรือบีบอัดมาน้อย  จึงเป็น codec ของไฟล์ที่เหมาะสมสำหรับการนำมาเป็นต้นฉบับในการทำ post production มากกกว่า ด้วยเหตุผลหลายๆประการ

สำหรับความสามารถของ RAW uncompressed VS compressed codec ให้ดูคลิบนี้ ของเฮียคนเดียวกัน เค้าอธิบายได้ชัดเจนดีครับ




ในขณะนี้ ผมมีกล้อง 8 bit h.264 นี้อยู่ในมืออยู่แล้ว ผมจึงมองหา spec ที่สูงกว่า ดีกว่า สิ่งที่ผมมีในปัจจุบัน เพราะเงินแต่บาทแต่ละสตางค์หายากครับ ลงทุนทั้งที  ควรให้รู้สึกคุ้มค่ากับการลงทุนครับ สรุปก็เลยมองว่า เจ้า Blackmagic คุ้มค่าที่สุด ประสิทธิภาพดีที่สุด ราคาไม่แรง เพียงพอต่อ scale งานที่รับมา และคำนวนแล้วจบงานยัง ได้กำไร ok อยู่ แถม จบงานยังได้ asset เป็นกล้อง สามารถปล่อยเช่า หรือใช้งานต่อๆไปด้วย

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยหมดหวังกับการสั่งซื้อกล้องตัวนี้ และแล้วอยู่ดีๆ ก็นึกถึง saleman ขาประจำที่ singapore ขึ้นมา ก็เลย ลอง what app ถามไปลอยๆ ไม่ได้คาดหวังอะไร ปรากฏเค้าบอกว่า ของเพิ่งเข้าร้านเเค้าวันเมื่อวาน 4 ตัว แล้วมีคนซื้อไปแล้ว 3 ตัว เหลือ 1ตัว พอดี โอ้โห jackpot อย่างแรง อยากจองมาก แต่ยังเอิญช่วงนั้น ขัดสน ลูกค้า credit กันเพียบ ไม่จ่ายซักที ก็เลยยังไม่ตอบตกลงกับทางนั้น ยังนึกแอบเสียดายโอกาสเล็กๆ ปราฏฏว่าวันรุ่งขึ้น ตื่นเช้ามา อยู่ดีๆก็มี message  เข้ามาจากกองถ่ายภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่ง ที่จะเข้าโรงภาพยนตร์ 19 เมษายนนี้ บอกว่า “รบกวนขอเลขบัญชีด้วยค่ะ เดี๋ยวจะโอนค่าเช่าเลนส์ Compact Prime ค่ะ” โอ้โห ปิดกล้องไป 2 เดือนแล้ว เกือบลืมทวงตังค์ไปแล้ว อยู่ดีๆนึกจะจ่ายก็จ่ายเฉย แล้วตอนเที่ยงเค้าก็โอนเงินเข้ามา แล้วบ่ายนั้น ผมก็ไป ธนาคาร โอนตังค์นั้นไปให้สิงคโปร์เลย ในที่สุดก็มีทั้งเงิน ทั้งกล้องว่างให้เราล่ะ ผมเลยอยากสรุปว่า มันดวงจริงๆ สงสัยกล้อตัวนี้มันเกิดมาเพีื่อมาเป็นของเราจริงๆแล้วแหละ วันนี้นึกย่้อนกลับไปยังแอบคิดเลย ว่าคนอื่นเค้าจ่าย เค้าสั่งไปเกือบครึ่งปีกว่าจะได้ ไอ่เรานึกจะเอา ก็ได้เลย มันดวงจริงๆครับพี่น้อง

หลายคนคงสงสัยว่าในที่สุดลงทุนทั้งหมดไปเท่าไหร่ ก็ประมาณ 180000 บาทครับ ซึ่งประกอบไปด้วย

1.กล้อง Blackmagic 91000 บาท จ่ายจริงที่ 96500 บาท แต่ไปขอภาษีคืนที่สนามบินสิงคโปร์ได้คืนมา 5500 บาท :)
2.ค่าตั๋วเครื่องบิน ไปกลับ เชียงใหม่-สิงคโปร์  9000 บาท ไม่นอนพัก นับรับของที่สนามบิน ได้ของแล้วบินกลับเลย
3.SSD 240 GB x2 13000 บาท
4.ค่า Dock USB 3.0 สำหรับ SSD  6000 บาท
5.เลนส์ Sigma 8-16mm 19500 บาท
6.เคจกล้อง พร้อม rod และที่จับ ของ shape  17000 บาท
7.แท่น v-mount ของ switronix แบบจ่ายไฟ 12V ได้ 4 ช่อง + 7V 1 ช่อง + 5V 1 ช่อง + usb 1ช่อง  15000 บาท
8.สายไฟ แบบ D-tap , lemo หลายเส้น สำหรับต่ออุปกรณ์จาก แท่น v-mount  ประมาณ 9000 บาท



เอาหล่ะ เกริ่นมามากพอเค้าเรื่องการใช้งานดีกว่า ผมจะสรุปข้อดีข้อเสีย เมื่อเทียบกับกล้อง DSLR ให้ฟัง

ข้อดี

1. ไฟล์ดีมากกกกกกกกกกกกกกกกก  ภาพคมชัดแบบชัดสุดๆไปเลย ภาพของ 5D MK III ดู Soft ไปเลย ก็แน่หล่ะ Canon เค้าต้องทำให้ไฟล์ 5D MK III ต้อง soft ลง เพื่อลดปัญหา Aliasing & Moire** ที่พบในกล้อง DSLR แทบทุกรุ่น และแน่นอนครับ กล้องตัวนี้ไม่มี Alising & Moire มาหลอกหลอนเช่นเดียวกักับ 5D MK III ครับ


**ใคร ยัง งงๆกับ Alising & Moire ว่ามันคืออะไร ให้ข้ามไปอ่านที่ คห.2 ช่วงท้ายๆนะครับ

2. Dynamic Range 13 stop ในไฟล์ RAW12 bit ทำให้เผยให้เห็นรายละเอียดทั้งภาพที่อยู่ในเงา และส่วนที่เป็นส่วนสว่างได้่ ภาพที่ได้จะคล้ายๆกับ การถ่ายคร่อม ที่ HDR ย่อมๆเลย

3. ไฟล์ RAW ทำให้สามารถปรับแต่งภาพในขั้นตอน post ได้เต็มที่  ความรู้สึกก็เหมือนกับเราถ่ายภาพนิ่งเป็นไฟล์ RAW แล้วนำเข้าไปแต่งภาพใน Lightroom ปรับ Whitebalance tint exposure ตามสบาย หรือ ถ่ายมาพลาดๆ ก็ปรับแก้ได้อ่ะครับ ต่างจากการใช้ DSLR ที่ถ่าย h.264 8 bit ก็เหมือนกับการถ่ายภาพนิ่งแบบ JPEG ถ่ายมายังไง ก็ใช้อย่างนั้นเลย พลาดแล้ว พลาดเลย  

4. แถม DAVINCI RESOLVE 9 มาให้ฟรี นี่เป็นโปรแกรมปรับแต่งสีภาพระดับมืออาชีพที่เป็นที่นิยมกันในภาพยนตร์​ hollywood ถ้าซื้อ โปรแกรมเอง ราคาจะอยู่ที่ ประมาณ 30000 บาท นี่เราได้มาฟรีๆ (หรือไม่ก็รวมไปกับราคากล้องเรียบร้อยแล้ว 5555555) แถมมาในกล่องให้เลย
  
5. ใช้ EF mount เช่นเดียวกันกับกล้อง canon ที่มีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อเลนส์ชุดใหม่ หรือหา adaptor มาเปลี่ยนให่้ยุ่งยาก ถ้าอยากซื้อเลนส์เพิ่มก็มีขายตามร้านกล้องทั่วไป สำหรับสาวก M4/3 ก็สามารถหยิบใช้เลนส์ M4/3 ที่มีอยู่กับ กล้อง black magic รุ่นที่เป็นเม้าแบบ M4/3  

ข้อเสีย

จริงๆ ไม่ใช่ข้อเสียหรอกครับ เพียงแต่ว่าเมื่อนำมาเทียบกับการใช้งานกับกล้อง DSLR มันมีจุดที่ทำให้รู้สึกว่า DSLR เป็นกล้องที่ใช้งานได้ดีกว่าในหลายสถานการณ์

1. ไม่สามารถเปลี่ยนแบตกล้องได้เหมือน DSLR กล่าวคือ แบตเตอรี่เป็นแบบฝังในเครื่องเหมือนที่พบ ใน iphone macbookpro retina ถ้าแบตหมดก็ต้องรอชาร์จ เวลาการใช้งานมื่อชารจ์ได้ 100% แล้อยู่ที่ ประมาณ  1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ถ้าถ่ายทั้งวัน ก็จบเห่ แต่กล้องเค้ามีช่องต่อไฟ DC 12V ซึ่งเราสามารถต่อจาก แบท V-mount (ก้อนละ 6000-10000 ไม่รวมแท่นชาจ์อีก 10000 และ แท่นจ่ายไฟ อีกประมาณ 3000-10000) ได้ แต่นั่นหมายความว่าเราต้องหาทาง rig กล้องและ batt ทำให้กล้องที่หนักอยู่แล้ว (2 kg กว่าๆ) หนักเข้าไปอีก มีฝรั่งคนหนึ่งเค้าแนะนำอีกวืธีว่าให้ใช้ batt ของ swit ที่มีช่องต่อ D-Tap ไป DC เสียบชาร์จตอนที่ไม่ได้ใช้งานกล้อง จะใช้งานก็ค่อยเก็บแบตใส่กระเป๋า อารมณ์เหมือนใช้ที่ชาร์จพกพาของ iphone อะไรแบบนั้น วิธีนี้จะทำให้ เบา และไม่ต้อง rig อะไรให้ยุ่งยาก

2. Sensor มีขนาดเล็กกว่า DSLR มาก มีขนาดเล็กกว่า M4/3 นิดนึง แต่ใหญ่กว่า 16mm อยู่ ทำให้ติดตัวคูณ crop factor ไปประมาณ 2.3 เท่าเช่น เลนส์ 16-35 ซึ่งเป็นเลนส์ ultrawide zoom กลายเป็น เลนส์ 37-80 mm เมื่อเทียบกับกล้อง FF กลายเป็น standard zoom ไปเลย ผมเลยได้ถอย เลนส์ Sigma 8-16 f/4.5-5.6 มาใช้อีกตัวเพื่อให้ภาพแบบมุม wide ที่สุดโดยที่ขอบไม่โค้ง ได้ระยะประมาณ 18-37 mm  ก็ถือว่าได้ wide มากพอใช้งานได้เหมือนเดิมแล้วแหละ



3. กล้องไม่มี ND Filter ในตัว  ปัญหาคือ ถ้าแสงเข้ามามากไป เราไม่สามารถโกง shutter speed แล้่วเปิด f/1.4 เพื่อให้ภาพชัดตื้นได้เหมือน DSLR เพราะกล้องจำกับ shutter angle ได้ที่ 45 องศา หรือเทียบเท่า speed shutter ประมาณ 1/200 เท่านั้น  จึงจำเป็นต้องหาซื้อ ND Filter แยกต่างหาก ไม่ว่าจะเป็น FADER แบบที่สวมหน้าเลนส์แล้ว หรือจะใส่ mattebox แล้ววางฟิลเตอร์แบบแผ่นก็แล้วแต่เห็นสมควร

4. ไฟล์ RAW ใช้พื้นที่มาก กล้องนี้บันทึกไฟล์ลง SSD ไม่ได้บันทึกลง CF Card หรือ SD card อย่างที่ใช้กันทั่วไป ผมใช้ SSD ของ Sandisk Extreme ขนาด 240GB (ประมาณ 6500 บาท) สามารถบันทึกได้ประมาณ ครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าถ่ายแบบ  Proress จะได้เวลาบันทึกเพิ่ม 5 เท่า แต่ถึงยังไงก็ตาม ก็ต้องซื้อ HDD ลูกใหม่เพิ่ม เพื่อเตรียมไว้ตัดงานได้เลย

5. ถ่ายเฟรมเรตได้ สูงสุดที่ 30fps เท่านั้น กล้องนี้สามารถถ่ายได้ที่ 23.98 24 25 29.97 30 fps ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบถ่าย 60fps ก็เลยได้แต่หวังว่า เค้าจะทำ firmware มาแก้ อย่างน้อย ถ่าย 60 fps ที่ prores 1080p ผมก็พอใจมากแล้ว แต่ ณ ปัจจุบันก็พึ่ง 5D MK III หรือทำ optical flow ใน final cut ใช้งานไปก่อน ดังที่เห็นในคลิบว่า หลายๆช๊อตที่ถ่ายด้วย black magic มีการ slow ภาพในขั้นตอนตัดต่อ ก็จะให้ทำไงหล่ะ กล้องเราถ่ายได้แค่นี้อ่ะ!  

6. ISO เริ่มที่ 200 ไป 400 800 1250 และ 1600 มีให้ใช้ได้แค่นั้น

7. กล้องถือว่าหนัก ทำให้มีผลกต่อการนำกล้องขึ้นไปวางบน steadicam หรือ วางบน slider รุ่นเล็ก จะ balance กล้องได้ลำบากกว่า แถมทรงกล้องก็ไม่ได้ถุกออกแบบมาให้ถือในมือเหมือน DSLR

8. ต้องนำไฟล์ RAW ไป process ใน Davinci Resolve ก่อนแล้วจึงค่อย export ไฟล์ให้ออกมาเป็น prores  เพื่อให้นำเข้าไปตัดต่อใน finalcut หรือ premiere จริงๆขั้นตอนนี้ก็ไม่ยากเย็นอะไร ผมเพิ่งฝึกใช้ Davinci ได้ไม่นานก็เข้าใจ เพราะโปรแกรมมันตรงไปตรงมา แต่อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้ทำใช้เวลา ทั้งเวลาในการแก้ไขภาพให้ถูกต้องดูเหมือนสีจริง (Color Correction)  และเวลาในการ render ไฟล์ proress ออกมา  จะใช้เวลามากน้อยแล้วเพียงใด ขึ้นอยู่กับความถนัด และความแรงของเครื่องที่เราใช้งาน แต่ก็ไม่ทำให้สะดวก เหมือน DSLR ที่สามารถโยนฟุตเทจลงไปในโปรแกรมตัดต่อได้เลยทันที


9. จอมองยากเวลาถ่ายกลางวัน

ส่วนที่อาจจะเป็นข้อดีหรือข้อเสียก็เช่น
1. ช่องต่อมอนิเตอร์เป็นแบบ SDI ไม่มีช่อง HDMI คนทีมีจอภาพแบบ SDI อยู่แล้วก็คงมีเฮ แต่สำหรับผมซึ่งมีแต่จอ HDMI (ซึ่งเชื่อว่าสมาชิกสาย DSLR หลายท่านก็ได้ลงทุนระบบ HDMI เช่นเดียวกันกับผมไปแล้ว) ก็เลยต้องใช้ตัวแปลงสัญญาน แปลงให้เป็น SDI เสียก่อน ก่อนที่จะเสียบกับจอที่มี ซึ่งนั่นก็หมายกความว่า  นอกจากเราจะต้องเลี้ยงไฟ ทั้ง กล้อง ทั้งจอ ทั้ง 2 จอ เรายังจะต้องเลี้ยงไฟเครื่องแปลงสัญญานด้วย จริงๆตอนนี้มีจอแบบทีี่เข้าเป็น HDMI หรือ SDI แล้ว สามารถ loop สัญญานออกได้ทั้ง 2 แบบอยู่ แต่ก็แน่หล่ะ ต้องลงทุนเพิ่มอีก 30000 เห้ออออ พอแล้ววววว

2. ช่องเสียบไมค์ เป็นแบบ แจ๊ก balance 1/4 นิ้ว 2 รู เราจึงสามารถบันทึกเสียง ได้ 2 input แถมยังบันทึกได้ถึง 24 bit ก็คมชัด เสียงแน่น ใช้งานได้ แต่ข้อเสียคือ เพราะมันเป็น แจ๊ก 1/4 นิ้ว จึงไม่สามารถเลี้ยงไฟ phantom ให้ไมค์ shotgun ซึ่งใช้หัวแบบ XLR ได้ ผมว่าเค้าออกแบบมาให้ต่อสียงมาจาก mixer ของ sound engineer อีกที เพื่อบันทึกเสียงลงไปในไฟล์เดียวกันกับภาพด้วย ไม้ได้ออกแบบมาให้เสียบกับไมค์โดยตรง จบที่ตัวเดียว เหมือนกล้อง ENG (หรือที่ช่างภาพ สาย wedding ชอบเรียกว่า กล้อง OB) ทั่วไป กล้องมีแจ๊กให้เสียบหูฟัง แต่ในจอภาพไม่แสดง audio meter ซึ่งผมว่า เค้าน่าจะสามารถทำ firmware ออกมาแก้ไขปัญหานี้ได้ ณ ขณะนี้ก็ได้แต่รอและหวัง

3. ไม่สามารถตั้ง K ให้ white balance ได้ WB จะ เป็น preset ที่ 3200 4500 5000 5600 6500 อาจเป็นข้อเสียของคนที่ถ่ายโหมด Prores, DnxHD แต่ไม่ใช่ปัญหาเลยสำหรับคนที่ถ่าย RAW เพราะยังไงก็สามารถไปปรับได้อย่างละเอียดมากใน Davinci Resolve

4. เล่น DOF ได้น้อยกว่า DSLR  แน่นอนหละครับ sensor เล็กกว่ามากกว่าครึ่งของ DSLR  ช่างภาพสาย wedding หลายท่านคงไม่ชอบตรงนี้มาก แบบว่าเสีย look งาน wedding film ที่ลุกค้าชอบ หลังเบลอๆ ยิ่งเยอะยิ่งดูดี อันนี้แล้วแต่สไตล์แต่ละคนครับ ในความเข้าใจของผม การที่ wedding film ออกแนว DOF ตื้นๆ อยู่เสมอๆ ก็น่าจะเป็นเพราะว่า ต้องการสื่อถึงความสวยงาม หยดย้อย นุ่นนวล ชวนฝัน ดูเป็นเทพนิยาย ประกอบกับงาน wedding มักจัดตอนเย็น หรือไม่ก็ในโรงแรม ซึ่งค่อนข้างมืด เลยต้องถ่ายที่ DOF ตื้นๆ เพื่อสื่อภาพอารมณ์นั้นๆออกมา หรือแม้กระทั้งเพื่อตั้ง exposer ให้ได้ ดังนั้นถ้าท่านต้องการ DOF ตื้นๆ กล้องนี้อาจไม่เหมาะกับท่าน แต่ก็มีคนอีกไม่น้อยที่ไม่ได้มองว่าตรงนี้เป็นปัญหา เพราะหากศึกษาดูดีๆแล้ว DOF ในงานภาพยนตร์นั้น จริงๆ ไม่ต้องจำเป็นต้องตื้นมากเหมือนงานภาพนิ่ง ลองสังเกตุดูหนังในโรงซิครับ DOF จะไม่ได้ตื้นเว่อร์ๆเหมือนงาน wedding dslr หรือ MV ทั่วไป เพราะหลังเบอร์มากไปก็อาจทำให้เฟรมดูอึดอัด รายละเอียดของฉากก็มองไม่เห็น  DOF ที่เหมาะก็คือให้พอเห็นว่ามีระยะตื้น-ลึกอยู่บ้างก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นการคุม focus เป็นสิ่งสำคัญมากกว่า แม้ผลจะมีเลนส์ f1.2 / f1.4  ในมือ แต่ผมมักใข้งานที่ f3.5-4 เป็นต้นไปมากกว่าในงานแบบกองถ่าย เพราะถ้าผู่้ช่วย 1 เผลอหลุดโฟกัส ผู้กำกับคงอารมณ์เสียน่าดู แล้วต้องถ่ายกันใหม่ แต่เพื่อให้ภาพยังดูสวย มีมิติ ก็อาศัยการจัดแสงสร้างมิติให้ภาพแทนการใช้ DOF แถมข้อดีของกล้อง sensor เล็กที่ได้ DOF น้อยกว่าก็คือ  เมื่อเราเปิดที่รูรับแสงกว้างสุด เรามีโอกาสที่จะคุมโฟกัสได้ดีกว่ากล้องที่ sensor ใหญ่กว่า เมื่อเปิดรูรับแสงเท่ากัน ทำให้รับแสงได้มากกว่า ในขณะที่คุมโฟกัสได้ง่ายกว่า หากเป็นกล้อง fullframe อาจต้องหรี่รูรับแสงและเสียแสงไปประมาณ 1.5 stop เพื่อให้คุมโฟกัสได้เท่ากัน  นี่ก็น่าจะเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมกล้องภาพยนตร์ถึงไม่ทำ sensor ให้มีขนาดใหญ่มากกว่า 35mm หรือเทียบเท่าประมาณกับ sensor กล้อง crop (APS-C) ของ DSLR เพราะมันไม่จำเป็นต้องใหญ่ขนาดนั้นครับ มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาซะทีเดียว

ก็เท่าที่ใช้งานมาก็พบอะไรประมาณนี้ อาจจะดูเหมือนว่า กล้อง BMCC มีข้อเสียมากกว่าข้อดี จริงๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ มันเป็นเพราะว่า กล้องแต่ละแบบเหมาะกับงานที่ไม่เหมือนกัน กล้องตัวนี้มันถูกออกแบบมาให้ใช้งานในแบบกองถ่ายเป็นหลัก มากกว่าจะเป็นกล้องที่ใข้ถ่ายได้ครอบคลุมทุกงานเหมือน DSLR เพราะฉะนั้นหากเรามองในมุมมองการทำงานแบบกองถ่าย แต่ละอย่างที่ผม list มานั้นแทบจะเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ข้อเสียซักนิด  กล่าวคือ กล้องในกองถ่าย ต้อง rig นู้นนั่นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น แบท จอ mattebox ไม่ต้องกลัวกล้องหนัก เพราะวางบนขาตั้งกล้องใหญ่ๆดีๆ เป็นหลักอยู่แล้ว ไม่ได้วางบน Monopod หรือ glidecam 2000 ซักหน่อย แถมยังมีผู้ช่วยกล้องเป็นคนแบกกล้องให้อยู่แล้ว ในกองถ่ายมีทีมไฟจัดแสงอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวแสงน้อย หน้ามืดก็เติมไฟเอา ไม่ต้องเร่ง iso ส่วนการตัดต่อนั้นก็มีเวลาตัดต่อมาก ค่อยๆทำ footage ไปได้ ไม่ต้องรีบร้อนตัด same day edit อะไรทำนองนั้น    

ในทางกลับกัน DSLR เพราะถูกออกแบบให้ใช้งานได้ง่ายและหลากหลาย สะดวก เลยเมื่อเทียบประสิทธิภาพ มันจึงมีขีดจำกัด หรือข้อด้อย ที่เมื่อเทียบกับกล้อง BMCC ในมุมมองงานแบบกองถ่าย เพื่อแลกกับความสะดวกต่างๆที่ได้รับ

ในส่วนของคลิบต่อไปนี้เรียกว่าเป็นงานแรกที่ได้ใช้งานกล้องตัวนี้ ผมบินไปเอากล้องที่สิงคโปร์วันอังคาร กลับถึงบ้านวันพุธ แล้วเริ่มถ่ายงานวัน พฤหัสเลย นี่ไม่ใช่งานที่แสดงความ perfect ของกล้องได้ดีที่สุด แต่ถือเป็นงานกรณีศึกษามากกว่า งานนี้จะแสดงให้เห็นถึงทั้ง ข้อดี และ ข้อเสีย หรือข้อผิดผลาด ของกล้องทั้ง 2 ระบบ จนได้ข้อสรุปที่ผมเขียนมาข้างต้น โดยหลักๆแล้วในคลิบ ผมจะใช้ BMCC ใน stock shot อาคารเรียนทั้งหลาย Crane shot ทั้งหลาย และ มุม Dolly กว้างใน ภาพ insert ช่วงครึ่งแรกของคลิบ ที่เหลือจะเป็นภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง 5D MKIII และ 6D ครับ



อุปกรณ์ที่ใช้

กล้อง
Blackmagic Cinema Camera EF mount
Canon 5D MK III
Canon 6D x2 bodies

เลนส์
Canon 16-35mm f/2.8 L
Canon 85mm f/1.2 L
Canon 135mm f/2L
*Canon EF-s 10-22mm
*Sigma 10-20 f/4-5.6
Sigma 50mm f/1.4

manfrotto 190B tripod / manfrotto 561B monopod / Konova 100cm slider / Steadicam Pilot / ThaiDFilm Crane

กล้อง Blackmagic ถ่าย RAW ส่วนกล้อง DSLR ถ่ายโดยใช้ picture style แบบ Cinestyle ที่ ALL-I ทั้งหมด
Process ไฟล์ RAW ใน Davinci Resolve ตัดต่อ และ เกรดสีใน Final Cut Pro X

*Canon EF-s 10-22mm Sigma 10-20 f/4-5.6 เป็นเลนส์ที่เช่ามาเพื่อใช้กับกล้อง Blackmagic ตอนนั้นยังไม่ได้ซื้อ Sigma  8-16mm ครับ












    














  • รูปภาพ:dynamic range_1.12.1.jpg
ดูเพิ่มเติม บันทึกคะแนนนี้โพสต์ล่าสุด: รวม 16 คะแนน ความดี +207 ซ่อน
krisada127 ความดี +20 2014-01-08 -
gigapixel ความดี +1 2013-04-26 -
yoshiro ความดี +1 2013-03-10 -
jobfilm ความดี +10 2013-03-10 -
saming ความดี +1 2013-03-09 ดีมากเลยครับ
ktoy ความดี +30 2013-03-08 ยอดเยี่ยม ขอบคุณมากครับ
poronnut ความดี +10 2013-03-08 -
fatmanfilms ความดี +9 2013-03-08 -
takommak ความดี +1 2013-03-08 เยี่ยมครับ ชอบรีวิวแบบนี้
thitinon ความดี +60 2013-03-08 -
โพสต์
659
เงิน
24612
ความดี
22220
เครดิต
22966
จิตพิสัย
22999
จังหวัด
เชียงใหม่

งานนี้ถ่าย 2 วัน ตัดต่อ 3 วันครับ

วันแรกสั้นๆ แค่ 2 ชั่วโมงกว่าๆก็เสร็จงานแล้ว จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะใช้ Blackmagic ถ่ายเป็นกล้องหลัก เพราะแบตเตอรี่มันอยู่ได้ไม่เกิิน 2 ชั่วโมง อุปกรณ์เลี้ยงไฟต่างๆ ก็ยังสั่งมาจาก BH ยังมาไม่ทันใช้งาน

งานช่วงนี้ถ่าย 2 กล้องครับ โดยแบ่งงานให้กล้อง BMCC ถ่าย dolly มุมกว้าง เพราะมุมกว้างจะเห็นส่วนต่างของแสงเยอะ ใช้กล้องที่เก็บ dynamic range เยอะๆน่าจะเหมาะสมกับงานนี้ แล้วก็กล้อง 5D MKIII อีกตัว ถ่าย มุมเจาะๆ หลังเบลอๆ ที่ 60fps มาทำ shot อารมณ์สวยๆ เพราะกล้อง 5D mkIII ได้ DOF ที่เยอะกว่า BMCC และถ่าย 60fps ได้ แถมไฟล์ถือว่าดีครับ อย่างน้อยก็ดีกว่า 6D มาก

ผมใช่เลนส์ Canon 10-22 แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่พอเอาไปเอามา เอ๊ะ ทำไม่อยู่ดีก็ปรับรูรับแสงไม่ได้เฉยเลย ซวยละทีนี้ รูรับแสงถุก lock ไว้ที่ กว้างสุด (f/3.5) ไม่าสามารถควบคุมได้ shutter angle ก็ปรับได้แค่ 45 องศา iso ก็ปรับได้ต่ำสุดที่ 200 ND ก้อไม่มี ผลที่ได้ก็คือ ในช่วงที่หลังๆ ภาพที่ถ่ายมาก over exposer ไปหมด สังเกตุได้ในคลิบ ที่ 3.07 หรือ 4.48



ภาพจะดูเสียรายละเอียดในส่วนของ hilight มาก นั่นเป็นเพราะถ่ายมาผิดพาด แต่นี่ก็ทำให้ได้เห็นถึงระดับขีดความสามารถของไฟล์ RAW คลิบต้นฉบับที่ถ่ายมาได้นั้น ขาวสว่างมากๆ สว่างจน แทบไม่เห็นอะไรแล้ว แต่ Davinci Resolve ก็สามารถดึงกลับมาได้จนพอเห็นเป็นรุปเป็นร่าง สามารถยังนำกลับมาใช้งานได้ แม้ hilight บางส่วนนั้น burn ไปหมดแล้ัวก็ตาม ผมคิดในใจว่า ถ้าวันนั้น ผมไม่ได้ถ่ายเป็น Raw ผมคงเสียช๊อตเหล่านั้นไปแล้วครับ

พอเสร็จงานก็เลย เอา 10-22 ไปคืนที่ร้านเช่าเลนส์ ลองเปลี่ยนเป็น 10-22 อีกจัวที่ร้านมี ปรากฏว่าก็ยังไม่สามารถปรับรูรับแสงได้เหมือนเดิม ผมเลยลองเปลี่ยนเป็นเลนส์ Sigma 10-20 ปรากฏว่าเลนส์นี้สามารถปรับค่ารูรับแสงได้แล้ว และเมื่อนำเลนส์ 10-22 ทั้งสองตัวไปใส่กับ 60D ปรากฏว่าทำงานได้ปกติ ดูเหมือนว่า กล้อง BMCC นี้ไม่ค่อยถูกกับเลนส์ Canon 10-22 ซักเท่าไหร่ ผมยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่เบื้องต้นเดาว่าน่าจะเกี่ยวกับตำแหน่ง ของ contact ของเลนส์ EF-S กับกล้องไม่พอดีกัน เพราะตอนใส่ 10-22 ก็รู้สึกว่า มันฝืดๆ แน่นๆ กว่าใส่เลนส์อื่นๆ ก็เลยตัดสินใจ ใช้เลนส์ Sigma 10-20 แทน ในการถ่ายทำหลังจากนี้

ในอีกส่วนหนึ่งที่ผมพลาดไปในวันแรกก็คือ ผม ติดเลนส์ Sigma 50 1.4 ไว้กับตัวด้วย เผื่ออยากจะถ่าย shot tele หลังวุ้นๆ สไตล์ DSLR บ้าง ปรากฏว่า ด้วยความเคยชินจากกล้่อง DSLR ที่เราโกง shutter speed เพื่อให้ exposer ลดลงได้ แต่เรากำลังใช้ BMCC อยู่ ลืมไปว่าไม่มี ND filter ส่วน shutter angle ก็ปรับได้สูงสุดแค่ 45 องศา เลยแทนที่จะได้ใช้ f/1.4 กลายเป็นได้ช้ f/11 อะไรประมาณนั้น หน้าแตกดังเพล้งเลย 555555555 ให้ลองดูภาพที่ 2:52 3:19 4:25 ครับ เป็นกรณีอย่างที่ว่ามาครับ



ในกล้องจะมี option ให้เราเปิด/ปิด zebra หรือ ตัวเตือน hi-light ผมตั้ง zebra ที่ 100% มันจะแสดงเฉพาะส่วนที่เกิน dynamic range ของกล้องจะรับได้ ในวันแรกนี้ผม ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับ zevra เท่าไหร่ แต่พอนั่งทำไฟล์ใน davinci resolve ก็เข้าใจเลยว่า ส่วนที่ันขึ้น zebra แล้ว มันเป็น highlight ส่วนที่กู้คืนมาไม่ได้แล้ว ขาวโพลนเลย จะสังเกตุได้ว่าช๊อตวันแรกของผมจะติด highlight ที่ over exposure บ่อยๆ พลาดครับ พลาดจริง ในวันที่สองผมเลย ให้ความสำคัญกับมัน แบบว่า ดู zebra เป็นหลัก แม้ว่าภาพจะดู under exposer ในจอหลังกล้อง แต่ก็ถือว่า ไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวก็สามารถไปเร่งเกลี่ยให้สว่างเท่าๆกันใน davinci resolve ได้ สำคัญคือ ต้องเก็บรายละเอียดมาให้ครบ ไว้ก่อน ภาพที่ผมถ่ายมา under แล้วมาเร่งเกลี่ยอีกทีก็ได้แก่ stock shot อาคารเรียน ตั้งแต่ 0:00-0:18 โดยเฉพาะใน shot ที่ 0:18 เราจะเห็นได้ว่า มีรายละเอียดในภาพทั้งในส่วนที่ด้านในห้องเรียน และส่วนที่เป็นนอกหน้าต่าง



ปัญหาอีกอย่างที่พบคือ กล้องมีีปัญหากับ พระอาทิตย์ครับ คือถ้าเราส่องกล้อง ตรงไปที่พระอาทิตย์ จะเกิดภาพเป็นเงาดำ วงกลม รอบวงอาทิตย์ เหมือนดูสุริยุปราคา ผมไปค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มา ฝรั่งค้าบอกว่าเป็นธรรมดาของ เซ็นเซอร์ CMOS ที่จะมีกลไลป้องกัน sensor ไม่ให้พังจากการได้รับแสงที่แรงกเกินกว่าที่ sensor จะรับได้ 7-9 stop ขึ้นไป



ทีนี้แล้วทำไม จึงไม่เกิดขึ้นกับ DSLR ทั้งๆที่ DSLR ก็เป็น CMOS เหมือนกัน ก็เพราะว่า กล้องมันถูกโปรแกรมว่า เจอ จุดดำแบบนี้ขึ้นมาให้ ทาสีขาวทับไปเลย เราเลยไม่เห็นพระอาทิตย์สีดำ ทีนี้ก็ต้องรอลุ้น firmware จาก blackmagic แล้วครับว่าให้แก้ไขปัญหานี้โดยอัติโนมัติ แบบกล้อง DSLR แต่ ณ ปัจจุบันก็ต้องใช้ Davinci resolve แก้ เทสีขาวทับจุดนั้นด้วยตนเองแก้ขัดไปก่อน สำหรับช๊อตตัวอย่างนั้นไม่มีในคลิบครับ แต่แก้่ปัญหาโดยการหาช๊อตที่มีอะไร มาบังดวงอาทิตย์ซักหน่อย อย่างที่ 4:18 หรือ หลบไม่ให้ดวงอาทิตย์อยู่ในเฟรม อย่าง 4:27



พอเข้าวันที่สอง วันนี้มีถ่ายตั้งแต่ เช้า จนค่ำ เว้นเฉพาะช่วง 13.00-15.00 วันนี้เลยคัดสินใจวางแผนว่าจะใช้ BMCC เฉพาะใน shot เครน และ ถ่าย stock shot ก็พอ แทนที่จะใช้เป็นกล้องหลัก ด้วยทั้งเหตุผลที่
1. แบตในกล้องใช้งานได้ไม่เกิน 2 ชั่วโมง
อยากประหยัดเนื้อที่ Harddisk เพราะ 240GB ถ่ายได้แค่ 30 นาที ไหนจะต้อง ใช่เวลา process ไฟล์ออกมาอีก จะขาดทุนก็เพราะต้องซื้อ Harddisk นี่แหละ
กล้องแอบหนัก ขึ้น konova slider บนขาตั้งกล้องแล้ว แอบเอียง ตั้ง บาลานส์ยากหน่อย

ส่วน DSLR ใช้เป็นกล้องหลัก 3 ตัว เลย ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงเช้า เป็นพิธีศิษย์พบครู เป็นช่วงที่ ที่เค้าตะพูดกันเยอะ ก็เลยต้องถ่ายแบบยาวๆ ทั้งสามกล้อง เก็บ คนพูด กล้องหนึ่ง เก็บ react กล้องหนึ่ง เก็บบรรยากาศโดยรวมกล้องหนึ่ง แยกบันทึกเสียง ด้วยเครื่อง Zoom H4N ที่ต่อกับ Mixer ของห้องประชุม ปรากฏว่าผมก็ได้รับบทเรียนเรื่องเสียอีกหนึ่งคือ เราควรเตรียมสายไปเอชง ในวันนั้นผมใช้สายของหอประชุม ซึ่งเป็นสายที่เก่าพอสมควร ปรากฏว่า มีเสียงจี่ตลอดเวลา ดังมาก ผมแทบช๊อค ผมเลยนำไฟล์เสียงที่ได้ไปให้พี่ที่เป็น sound engineer หนึ่งไปให้เค้าแก้ โชคดี ยังลบ เสียงจี่ออกไปได้ รอดตัวไป งานหน้า ต้องเตรียมสายดีๆไปเอง จำไว้ๆๆ

ในวันที่สองนี้ทุกอย่างเหมือนจะลงตัวกับกล้อง BMCC แล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ทำงานได้ดี ภาพที่ได้นั้นคมชัดรายละเอียดมาเยอะ ภาพดูอิ่ม สมบูรณ์ ให้ลองสังเกตุ ช๊อตตั้งแต่ 5:27 - 5:38 ช๊อตแรกเป็น BMCC อีกสองซ๊อตเป็นกล้อง 6D ลองสังเกตุความคมชัด ความอิ่มสี รายละเอียดในท้องฟ้าเลยครับ ถ่ายช่วงๆเวลาเดียวกัน แต่ภาพที่ได้นั้นแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด



ถ้าใครอยากดู ประสิทธิภาพของกล้องที่ iso 1600 ได้ที่ช๊อตเครนทั้งหลายตั้งแต่ 7.14 เป็นต้นไปครับ



จนกระทั้งในที่สุด แบ๊ตก็หมดจนได้ในช่วงค่ำ ผมก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเอากล้อง 6D ตัวหนึ่งไปใส่บนเครนแทน แล้วปรากฏว่าภาพที่ได้นั้นเหมือน ฟ้ากับเหว จากภาพที่ได้จากล้อง BMCC จริงๆครับ นอกจากภาพของ 6D จะแสดงใ้เห็นรายละเอียดน้อยกว่า ภาพคมชัดน้อยกว่าแล้ว ปัญหาหลักของ 6D ก็คือ Alising& Moire เป็นอาการหนักมากๆ ให้สังเกตุที่หลังของอาคารเรียนที่ 9:40



มาเป็นลายเลยครับ น่าเกลียดอย่างบอกไม่ถูก 6D เป็นกล้องที่ถ่ายภาพน่ิงได้ดีมาก แต่ในส่วนของ vdo ผมถือว่า แย่มากๆ ก็แน่ละ ถ้าทำวีดีโอออกมาดีด้วย เดี๋ยวคนก็แห่ซื้อ 6D แล้ว 5D MKIII จะขายออกยากขึ้น Canon เลยต้องกั๊กไว้บ้าง ร้ายจริงๆ นะจ๊ะ Canon


ใครที่งงว่า Aliasing & Moire เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ผมจะสรุปให้ฟังแบบภาษาบ้านๆว่า เนื่องจาก Sensor ของ DSLR ถูกออกแบบมาให้ถ่ายภาพนิ่งเป็นหลัก sensor จึงมี resolution สูง ยกตัวอย่าง ประมาณ 5616 x 3744 px ซึ่งนั่นใหญ่กว่า 1920x1080 ของโหมดวีดีโอ หลายเท่า sensor ของกล้อง DSLR สามารถบันทึกเส้นลายถี่ๆ ในภาพอยู่ด้วยกันได้ แต่เมื่อถูกลดขนาด (down sampled) ลงมาเหลือ Full HD จำนวน pixel ที่จะใช้แสดงข้อมูลภาพก็จะเหลือน้อยลง กลายเป็นว่า pixel ของเส้นลายละเอียดเหล่านั้นไม่มีที่ลง พื้นที่ของตนหายไป ก็เลยอยู่ท่วมกันเอง ล้นออกมาให้เห็นเป็นร้ิว ลายเส้น เหมือนสายรุ้งออกมา

ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นกับกล้องที่เกิดมาเพื่อถ่ายวีดีโอโดยตรง เพราะ sensor กล้องวีดีโอจะมี resolution ใกล้เคียงกับจำนวน pixel ที่ใช้งานจริง เช่น resolution ของ sensor กล้อง BMCC อยู่ที่


2432 x 1366 pixel แต่กล้องบันทึกที่ 2400 x 1300 ต่างกันนิดเดียวเอง Aliasing & Moire จึงไม่ใช่ปัญหาของกล้อง BMCC

วิธีแก้ปัญหาของ DSLR ก็คือ ใส่ soft filter ครอบหน้า sensor ให้ภาพมีความ soft ลง เพื่อที่ sensor จะได้ไม่เห็นอะไรที่เป็นเส้นละเอียดเกินไปจนทำให้ตอนที่ down-sampled ภาพให้เหลือ full HD จะไม่มีpixelไหนที่ล้นออกมาท่วมกันเอง มีให้ท่วมกันเองน้อยลง



พอถ่ายเสร็จก็ถึงขั้นตอนตัดต่อ ผมใช้ macbook pro 2 เครื่องในการตัดต่อ เครื่องหนึ่งนั่งทำไฟล์ raw จาก BMCC (macbook pro i7 2.6Ghz retina dispaly 8GB of RAM) ซึ่งเป็นเครื่องของผมเอง และะอีกเครื่อง เป็นเครื่องตัดต่อหลัก (macbook pro i7 2.4Ghz 16GB of RAM) ซึ่งเป็นเครื่องของน้องในทีมงานผมเอง มันแอบเอาไปอัพแรม จาก 4GB เป็น 16GB ซึ่งรุ่น Retina ของผมทำไม่ได้ รุ่น retina ไม่สามารถเปิดเครื่องมาอัพอะไรใส่เพิ่มได้ครับ จบในตัว (แอบ sad เบาๆ) ถ้ามีคำถามว่า ทำไมไม่ใช้ mac pro หรือ imac ตอบได้เลยว่า มีตังค์พอซื้อแค่ mbp ครับ ในชีวิต เดินทางบ่อย notebook จะซื้อมาแล้วคุ้มค่า ได้ใช้งานบ่อยกว่าซื้อ คอมตั้งโต๊ะครับ ถ้าผมรวยมาก ผมจะซื้อทั้ง MBP ทั้ง iMac ทั้ง MAC Pro ให้ดูเลยครับ

ถ้าถามว่าการใช้งานเป็นอย่างไรบ้าง สำหรับ เครื่อง retina ที่ทำไฟล์ RAW ใน Davinci คือจริงๆก็ทำงานได้ครับ เพียงแต่ว่า ไม่สามารถ playback ฟุตเทจได้ realtime จะอยู่ที่ประมาณ 14 fps ใน เลปของ black magic บอกว่า เราสามารถเพิ่มประทธิภาพในการทำงานของ Davinci ได้ เพียงแค่ไป โหลด CUDA driver (ใช้ได้กับเฉพาะการ์จจอ ของ nVidia) มาติตั้งในเครื่องของเราเท่านั้นเอง ในส่วนนี้ผมยังไม่ได้ลองครับ ยังไม่มีเวาและความกล้า 5555555 Davinci มัน fix หน้าจอการทำงานครับ ภาพ preview ในโปรแกรมถือว่าเล็กมากๆ เพราะจริงๆ ผมว่ามันถูกกออกแบบให้ใช้งานใน จอใหญ่ๆ มากกว่า ซึ่งถ้าผมต้องการจะ playback realtime ในจอื่น ผมต้องซื้อการ์ด external ของ blackmagic อีกที ซึ่งไม่ถือว่าแพงเกินไป (35000 บาท) หากเทียบกับ red rocket ของ red (ถ้าจำไม่ผิด 2 แสนกว่าบาท โอ้มายก๊อด ซื้อกล้อง blackmagic ได้ 2 ตัวเลยนะ) เก็บไว้เป็นตัวเลือกในอนาคต ยังไม่ซื้อตอนนี้ครับ ตังจะหมดแล้ว

ส่วนเครื่อง 16 GB ที่ใช้งาน final cut x อยู่ ก็ใช้งานได้ปกติครับ มี hank บ้าง เป็นเพราะ รอบแรกผม export file จากกดล้อง blackmagicที่ความละเอียดเต็ม (2400x1350) พอผมกลับไป export อีกรอบเป็น Full HD ซึ่งตรงกับ Project Setting ของ Final Cut ทุกอย่างก็กลับมาโอเคครับ

ok ครับ นี่ก็เป็นประสบการณ์จากการใช้งานกล้อง BMCC งานแรกของผม หวังว่าจะมีข้อมูลเป็นประโยชน์ต่อบางท่านไม่มากก็น้อย โดยส่วนตัวผมอยากสรุปว่า กล้อง BMCC ไม่ได้เป็นกล้องที่ perfect ที่สุดในโลก เพราะในโลกนี้ ก็ไม่เคยมีกล้องที่ perfect ที่สุดเช่นกัน กล้องแต่ละแบบถูกออกแบบมาให้ใช้งานต่างกัน อยู่ที่คนใช้มากกว่าที่จะเลือกเอาจุดเด่นของกล้องแต่ละอย่างมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน สถาณการณ์ใด สถาณการณ์หนึ่งมากกว่า

ถ้าถามผมว่า กล้อง BMCC จะมาแทนที่การกล้อง DSLR ของผมรึกปล่าว ผมตอบเลยว่าไม่สามารถทดแทนกันได้ ง่ายๆ อย่างงานคลิบพิธีจบหลักสูตรนี้จะไม่สำเร็จได้เลยหาก ไม่มี DSLR ด้วยข้อดีต่างๆของ DSLR ทำให้มันเหมาะที่จะเป็นกล้องถ่ายงาน Event แนว Cinematic อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วน BMCC เองผมว่า เพียงแค่สามารถเป็นทางเลือกแทนที่ DSLR ในงานลักษณะกองถ่ายได้ ทีนี้จะทดแทนได้มากน้อยขนาดไหนก็ต้องให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ ในช่วงเวลานี้มันก็เหมือนกับเมื่อ 4 ปี ก่อน ที่เรายังเถียงกันในประเด็น กล้อง DSLR vs กล้อง ENG มาถึงวันนี้ ไม่มีใครสงสัยประเด็นนี้อีกแล้ว กล้อง DSLR ได้รับการยอมรับอย่างดี เป็นกล้องที่นิยมใช้กันทั่วไปหลายหลาย ทั้งงาน scale เล็กๆ บ้านๆ ไปจนถึงงาน ใหญ่ๆ และแล้วก็ถึงเวลาที่ DSLR ถูกท้าท้าย ในแบบที่กล้อง ENG เคยถุกท้าทายมา แม้เราจะสรุปได้ว่า DSLR ได้รับการยอมรับหลากหลาย แต่ก็ใช้ว่า กล้อง ENG จะหายไปจากโลก ก็ยังมีงานอีกไม่น้อยที่ ต้องใช้กล้อง ENG เท่านั้นจึงจะสำเร็จได้ เช่นเดียวกันกับ BMCC VS DSLR ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้นครับ

พอถ้าได้ใช้งานในรูปแบบอื่นๆ แล้ว ผมจะกลับมาเล่าประสบการณ์อีกที เอางานมาให้ดูอีกนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เช้ามาอ่านจนจบ ผมก็ไม่รู้ว่า จะเขียนยาวขนาดนี้  จนต้องแย่งเป็น 2 กระทู้เลย 5555555
ขอบคุณมากครับ

บันทึกคะแนนนี้โพสต์ล่าสุด: รวม 10 คะแนน ความดี +55 ซ่อน
l_nipon16 ความดี +1 2014-08-25 -
speecies ความดี +1 2013-11-04 -
lekmeepooh ความดี +10 2013-06-21 -
gigapixel ความดี +1 2013-04-26 -
500 ความดี +1 2013-03-13 -
unun ความดี +10 2013-03-11 -
oaksmile ความดี +1 2013-03-07 บทความที่ดีเยี่ยม, สนับสนุน!
pupeneo ความดี +10 2013-03-07 วันนี้ผมก็เพิ่งจะสั่งไป 1 ตัวครับ
ake ความดี +10 2013-03-07 ขอบคุณครับ
katang ความดี +10 2013-03-07 ละเอียดมากครับ +++
โพสต์
2938
เงิน
58400
ความดี
38732
เครดิต
38299
จิตพิสัย
54804
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร

สวดยวดมากครับ
ระดับ : สมาชิก VII
โพสต์
709
เงิน
18429
ความดี
16825
เครดิต
18409
จิตพิสัย
16503
จังหวัด
เชียงใหม่

ตั้งใจเขียนมากครับ ตรงนี้ ชอบ อ่านจบแล้ว มีคำตอบ ชัดเจน เลยสำหรับ ผม ขอบคุณมากครับ
ระดับ : สมาชิก IIII
โพสต์
82
เงิน
1164
ความดี
1132
เครดิต
1225
จิตพิสัย
913
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 4#  โพสต์เมื่อ: 2013-03-07
สุดยอด มากกกกกก   ขอบคุณมากครับที่มาแชร์ให้ได้รับรู้ข้อมูล เป็นประโยชน์มากครับ
ระดับ : สมาชิก VII
โพสต์
544
เงิน
9933
ความดี
7297
เครดิต
6890
จิตพิสัย
8542
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 5#  โพสต์เมื่อ: 2013-03-07
เป็นกล้องตัวหนึ่งที่ผมอยากได้มาไว้ครอบครองครับ
แต่ส่วนตัวผมรอตัว เมาท์ m4/3 ครับ
ระดับ : สมาชิก V
โพสต์
100
เงิน
2774
ความดี
1978
เครดิต
1931
จิตพิสัย
2565
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 6#  โพสต์เมื่อ: 2013-03-07
เป็นการแชร์ความคิด แชร์ประสบการณ์ที่ไม่โน้มน้าว ไม่แอนเอียงดีครับ
ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันดีๆ
ระดับ : สมาชิก I
โพสต์
6
เงิน
113
ความดี
143
เครดิต
77
จิตพิสัย
222
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 7#  โพสต์เมื่อ: 2013-03-08
ขอบคุณมากครับที่ช่วยเปิดตาสว่างผม
ระดับ : สมาชิก IIII
โพสต์
67
เงิน
3143
ความดี
2074
เครดิต
2443
จิตพิสัย
1226
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 8#  โพสต์เมื่อ: 2013-03-08
ยอดเยี่ยมครับ
โพสต์
3280
เงิน
49028
ความดี
67852
เครดิต
78389
จิตพิสัย
62308
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร

เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 9#  โพสต์เมื่อ: 2013-03-08
หลงเข้าไปเห็นใน facebook สักอาิทิตย์สองอาทิตย์ที่แล้ว วันนี้มาจัดเต็มจริง ๆ
ระดับ : สมาชิก VII
โพสต์
663
เงิน
14461
ความดี
10965
เครดิต
11436
จิตพิสัย
10563
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 10#  โพสต์เมื่อ: 2013-03-08
โอ้วววว เจ๋งฮะๆๆๆ
ระดับ : สมาชิก II
โพสต์
14
เงิน
810
ความดี
1059
เครดิต
770
จิตพิสัย
799
จังหวัด
ชลบุรี
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 11#  โพสต์เมื่อ: 2013-03-08
เข้าใจทุอย่าเลยคับ ถ้ามีประสบการณ์เรื่องงานก็มาเล่าให้ฟังอีกนะคับ
โพสต์
714
เงิน
25238
ความดี
25792
เครดิต
25951
จิตพิสัย
27913
จังหวัด
สุราษฎร์ธานี

เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 12#  โพสต์เมื่อ: 2013-03-08
ขอบคุณน้องวี สำหรับ review. เจ๋งๆนี้
ครบรส จัดเต็ม ทั้งเกร็ดเล็กๆ ทิปต่างๆ ข้อดี ข้อด้อย
น่าจะเป็นข้อคิดสำหรับเพื่อนๆในการเลือกใช้กล้องในการผลิตผลงานได้อย่างดีเยี่ยม
ดังที่กล่าวไว้..... ไม่มีกล้องที่ดีที่สุด จงเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุด

** คราวหน้า ขอพวก Alexa หรือ Phantom ด้วยน้าาาา
โพสต์
1099
เงิน
24442
ความดี
20956
เครดิต
21442
จิตพิสัย
21252
จังหวัด
ขอนแก่น

เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 13#  โพสต์เมื่อ: 2013-03-08
นานๆจะมารีวิวยาวๆ ที แต่ก็เยี่ยมยอดจริงๆเลยครับ
ได้ครบรสและหลากหลายแง่มุมดีจัง...
ระดับ : สมาชิก I
โพสต์
9
เงิน
103
ความดี
116
เครดิต
33
จิตพิสัย
45
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 14#  โพสต์เมื่อ: 2013-03-08
ขอบคุณมากครับที่มาแชร์ข้อมูล เป็นประโยชน์มากครับ
ตาสว่างไปหลายคนเลย
รายละเอียดไฟล์แนบ
กล่องตอบกลับด่วน

คุณไม่มีสิทธิ์ใช้งานส่วนนี้, กรุณาเข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
กรุณาใช้ข้อความที่สุภาพ คุณสามารถบันทึกฉบับร่างได้