มีพี่ๆเจ้าของบริษัทขอยืมบทความไปสอนน้องใหม่( พนักงานใหม่) ดีใจจังที่มีประโยชน์ แต่ลงท้ายว่าที่เขียนมามีช่างภาพกำกับเขียนบทเหลือแผนกตัดต่ออยากให้เขียนเพิ่ม...ก่อนอื่น ขอทำความเข้าใจสักนิดก่อนว่า สำหรับงานตัดต่อ.. ที่เป็นโฆษณา .. เป็นMV หรือ..พวกหนังสั้น ผมไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ เพราะส่วนมากมักจะมีสตอรี่บอร์ดมาให้ดู หรือไม่ก็ถ่ายตามเรื่องราวอยู่แล้ว แต่ที่ห่วงก็คือการตัดต่อแนวสารคดีโดยทั่วไป ( ยังไงก็ไปอ่านของพี่foolmoonด้วยนะคับ )***
. ใครที่ตั้งใจจะเป็นพนักงานตัดต่อถามตัวคุณเองก่อนว่า - เป็นคน...รักความสบาย ...ชอบอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน
- ไม่ชอบลำบาก ....เพราะไม่ต้องตากแดด แบกของให้มือด้าน
- .ชอบคุยกับตัวเอง. .....ทำงานคนเดียว คุยกับจอคอมฯ
- ไม่เป็นโรคสมาธิสั้น. .... เพราะต้องทำงานนานๆ เวลาที่ได้ฟิวหรือได้อารมณ์
- .มีความคิดสร้างสรรค์ ....ชอบคิด ชอบขุดคุ้ย ชอบดูทีวี
.... พนักงานตัดต่อ วันๆจะนั่งอยู่หน้าคอม ในห้องสี่เหลี่ยม อย่างที่เขาเรียก ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ถ้าเป็นบริษํทก็คือ ตอนเย็น น้องๆออฟฟิศก็จะมากล่าวลาสวัสดี
" พี่ขา หนูกลับแล้วค่ะ"..
เวลาผ่านไปแค่ 2 ลมหายใจเข้าออก เวลาได้อารมณ์ทำงาน... น้องออฟฟิศก็เปิดประตู.... " พี่ขา สวัสดีตอนเช้า..มาแล้วค่ะ.." ถ้าใครชอบบรรยากาศในการทำงานแบบนี้ รับรองว่า ทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพแน่ๆ..***. ใครที่คิดไม่ตกว่า ตัวเองกำลังเดินไปทางสายไหนอยากให้ทำงานด้านตัดต่อไว้ก่อน เพราะจะเป็นฐานในการปูพื้นไปสู่ทางเดินอื่นๆได้หลากหลาย น้องใหม่บางคนเพิ่งจบมา ก็ตั้งทีมรับงานกันเองในกลุ่มเล็กๆ ( ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งเลย..โดยส่วนตัว ) ไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินนะ เพราะงานที่คุณทำอาจได้มาเพราะผู้ใหญ่สนับสนุน หรือให้โอกาสในการทำงาน เพียงแต่ผมอยากให้น้องใหม่หาประสบการณ์ในการทำงานก่อน ให้เข้าใจถึงวัฒนธรรมในวงการว่า จริงๆเขาทำงานอย่างไร วิถีทางเดินของคนในสายอาชีพนี้ การพูดคุยกับลูกค้า การรับงาน การปิดงาน ฯลฯ หรือจะทำงานประจำควบคู่ไปกับงานที่เราอยากทำกับเพื่อนๆในตอนเย็นร่วมกันไปก่อนหรือทำในวันหยุดก็ยังได้ และเมื่อคุณเก็บเกี่ยวประสบการณ์จนอิ่มเต็มตัว แล้วค่อยหันกลับมาทำงานให้กับตัวเอง เหตุผลที่ผมไม่เห็นด้วยก็เพราะการที่ได้ผู้ใหญ่สนับสนุน ในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้า วันใดที่คุณจำต้องเดินออกมารับงานภายนอกเอง ฐานที่ไม่แน่นอาจทำให้คุณบาดเจ็บในโลกแห่งความเป็นจริงได้.. ....สำหรับงานตัดต่อที่มีลูกค้า หรือโปรดิวเซอร์มาคุมงาน คนตัดต่อสบายคับ ไม่ต้องใช้สมองเท่าไหร่ ทำตามที่เขาคำสั่งเท่านั้นก็พอ แต่ที่มีปัญหาที่สุดคือ การตัดต่องานด้วยตัวเอง เพียงลำพังคนเดียว โดยไม่มีใครบอก ( ..แต่วันนี้ เราจะเป็นคนบอกคุณเองถึงวิธีการตัดต่อ ทีละขั้นๆ เน้นสไตล์ส่วนตัวนะคับ..)1. ศึกษาเครื่องมือพวกเอฟเฟคแต่ละตัว ว่ามีคุณสมบัติที่ดีและมีข้อจำกัดอย่างไร จดใส่สมุดไว้ก็ได้ เช่น เอฟเฟคตัวนี้ใช้กับบรรยากาศตื่นเต้น แบบวัยรุ่น แบบโรเมนติก ฯลฯ อย่างลูกค้าบอก อยากได้สารคดีสวยใส แนวปรัชญา ไม่มีหรอกคับ ไม่ต้องหาเอฟเฟคชื่อปรัชญา หรือฟิลเตอร์แนวสวยใส คุณต้องสร้างขึ้นเองใหม่ทั้งหมด ฉนั้น ถ้าไม่เข้าใจ เอฟเฟค-ฟิลเตอร์หรือข้อดีข้อเสียของเครื่อง การทำงานก็จะยากเพราะขนาดคนที่รู้อย่างทะลุ บางทียังต้องทำเป็นวันจึงจะได้อารมณ์ภาพที่ต้องการ..2. ดูงานฟุตเตสทั้งหมดของเทปที่ถ่ายมา และจำให้ได้ทั้งหมด ( ถูกต้องคับ จำให้ได้ทั้งหมด ) จะด้วยความสามารถที่คุณมี หรือจะหาตัวช่วยจดใส่สมุด หรือจะแบ่งเป็น ก้อนงานแต่ละประเภทในคอม ก็ตามแต่ จุดประสงค์คือ เมื่อนั่งตัดกับลูกค้า เขาจะเป็นคนคอยบอกว่าเอาภาพนั้นออก เอาภาพนี้ใส่ ถ้าคุณจำไม่ได้ว่าอยู่ม้วนไหน ตอนไหน จะใส่ภาพแต่ละครั้งต้องหาหมดทุกคอลัมน์ เสียเวลา และเสียอารมณ์มาก ( คนตัดต่อหลายคนที่จำฟุตไม่ได้แย่นะคับ ) ฉนั้น ถ้าเนื้องานเยอะจำไม่ไหว ก็จดใส่สมุดไว้ เวลาลูกค้าต้องการก็เปิดหาได้ง่าย..3. แยกภาพที่สวยที่สุดในสายตาคุณ ( แสงสวย แอ๊คชั่นสวย มุมสวย ) หรืออะไรก็แล้วแต่ที่คุณคิดว่าเด่นกว่าซีนอื่นๆ จะแยกออกมาไว้รวมต่างหาก หรือจะจำไว้ก็ได้ เพราะส่วนมากภาพสวยจะใช้ ตอนเริ่มต้นไตเติ้ลเปิดเรื่อง กับตอนจบ ( เลือกก่อนเพื่อภาพจะได้ไม่ซำ้ในเนื้องาน )..4 ดูเวลากำหนดส่งงาน สำคัญนะคับ เช่น ประมาณว่า 3 วันส่งงาน นั่นหมายความว่า 2 วันต้องเสร็จ ไว้วันที่ 3 ปรับแก้อีกครั้งให้เนียนขึ้น..แต่ถ้าเกิดเราใช้เวลามากเกินไป จนไม่มีเวลาปรับเปลี่ยน ก็ไม่เป็นไร ส่งงานแบบลวกๆให้ลูกค้าไปดูก่อน ( มีให้ดูดีกว่าไม่มีให้ดู )เพื่อจะได้รวบรวมมาแก้ไขขั้นตอนสุดท้าย พร้อมกันเลยก็ได้..5. ดูอารมณ์ของเนื้องานทั้งหมด ที่ช่างภาพถ่ายมาแบบนี้ก็เพื่อให้เราตัดออกมาแบบนี้ใช่หรือไม่ เช่น ตื่นเต้น หรือธรรมดา หรือวัยรุ่นแบบกล้องเหวี่ยงกระชาก ถ้าได้พูดคุยกับเจ้าของงานก็ดี จะได้ชัดเจนและใกล้เคียงความจริง ดีกว่ามานั่งเดาผิดๆถูกๆ ( บางครั้งแก้งานเสียเวลามากกว่าตัดใหม่อีกนะ ) ถ้าไม่แน่ใจให้รักษาชีวิต ตัวเองด้วยการตัดต่อแนวกลางๆไว้ อย่าตื่นเต้นสุดโต่ง และราบเรียบจนน่าเบื่ออยากหลับ( ยกเว้นลูกค้าเจาะจงมาว่าอยากได้แบบนี้ )..6. ตัดเฉพาะเนื้อหาที่ดิ้นไม่ได้ก่อนเป็นอันดับแรก เช่น บทพูดถึง...การปั้นกระถางต้นไม้เริ่มจากนำเดินมาทุบ มาบดผสมเข้ากับทราย แล้วนำไปวางบนแกนไม้หมุน การตัดส่วนนี้คือ การเลือกภาพให้ตรงกับบทที่เขาเขียนให้ครบ การถ่ายสารคดีบางครั้ง ช่างภาพอาจถ่ายมามากเกินความต้องการ หลายมุม หลายบรรยากาศ แต่อารมณ์เดียวกัน หน้าที่ของคนตัดต่อคือ ควรต้องใช้ให้ครบทุกช็อตที่ช่างภาพถ่ายมา จะสั้นยาวมากน้อยไม่สำคัญ แต่ต้องใช้ทุกช็อต ถ้าใช้เพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ได้นะคับ เพราะเกิดช่างภาพมาดูแล้วเห็นงานของเขาที่ถ่ายมาตั้งเยอะ แต่ใช้ไม่หมด เขาถือว่าไม่ให้เกียรติช่างภาพ ( สำคัญนะคับ คนในวงการเขาถือมากๆ ).. 7. ตัดเนื้อหาเฉพาะหมดแล้วที่เหลือตัดมั่วเลยคับ ในกรณีบทที่ดิ้นได้ เช่น หมู่บ้านเกาะเกร็ดเป็นหมู่บ้านชุมชนมอญที่ยังคงรักษาขนมธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมไว้ ไม่เปลี่ยนแปลง จากรุ่นก่อนสู่รุ่นปัจจุบัน จะสังเกตุว่าบทพูดทั่วๆไป อารมณ์แบบนี้จะใช้ภาพอะไรก็ได้ไม่ผิดกติกา วิวรอบเกาะ หรือวิถีชีวิตของชาวบ้าน ประเพณี ศิลปะวัฒนธรรมใช้ได้หมด ในกรณีนี้คุณมีความคิดเห็นส่วนตัวอย่างไรตัดมั่วไปก่อน เมื่อนำมารวมกับบทที่เป็นเฉพาะคุณจะมองเห็นแกนทันทีเลยว่า ภาพของบทที่ดิ้นได้ ที่คุณใส่เข้าไปตอนหลัง มันไปไม่ได้กับส่วนใหญ่ของเรื่อง ก็ค่อยเปลี่ยนไม่เป็นปัญหา แต่บางครั้งการลองผิดลองถูก เราอาจได้งานที่ดีกว่าที่เราคิดก็ได้นะคับ.. เห็นบางคนเถียงกันหน้าดำหน้าแดงว่า เอาภาพนั้นสวยกว่า เอานี่ซิดีกว่า หาเทปไปมาหมดเวลาไปหลาย ชม.ยังไม่ไปไหน ลองใช้สไตล์ผมตัดเลยไม่ต้องคิด ไม่ดีแก้ใหม่ได้..
8. สุดท้ายปรับเช็คอีกครั้ง มองดูงานโดยรวมทั้งหมดว่า ส่วนเด่นของเรื่องเด่นพอหรือยัง ช่วงเนื้อหาธรรมดาน่าเบื่อเกินไปหรือเปล่า เพิ่มเอฟเฟคให้งานน่าสนใจขึ้นได้ไม๊ พยายามตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เสมอว่า " ทำให้ดีกว่าที่เราทำครั้งก่อนได้ไม๊ " คิดแล้วลงมือทำเลย ถ้าทำแล้วดูไม่ดีกว่าของเดิม ค่อยปรับเป็นอย่างเดิม หรือจะเพิ่มแรงกดดันให้กับตัวเรามากขึ้นก็ได้ ..." เคยด่างานคนอื่นมาเยอะ ไม่อยากให้คนอื่นมาด่างานของเรา ฉนั้นต้องทำให้ดี และดีที่สุดกว่างานของคนอื่น " ....การตัดต่อ อย่างที่พี่ๆในเว็บบอกคือ เหมือนพ่อครัวปรุงอาหาร ถ้าพ่อครัวได้อาหารที่เป็นวัตถุดิบมีคุณภาพ ( ภาพที่ช่างภาพถ่ายมาดี ) บวกับฝีมือในการปรุงอาหาร ของพ่อครัวที่ดีเลิศ ( ฝีมือการตัดต่อดี ) ที่รู้ว่าควรใช้เครื่องปรุงอะไร ( ใช้เอฟเฟคอะไร ) จึงจะดึงรสเด่นของอาหารนั้นให้น่าทาน ( ให้สารคดีเรื่องนั้นน่าสนใจมีคุณภาพ ) แต่ถ้าวัตถุดิบมีปัญหาเช่นเน่าเสีย ( ช่างภาพถ่ายภาพออกมาไม่ดี ) พ่อครัวก็ต้องพยายามเปลี่ยนแปลง ( ตัดต่อเรียบเรียงใหม่ ) เพิ่มเติมรสชาติใหม่ ( ผสมเอฟเฟค ) เพื่อให้รสชาติของอาหารออกมาดีจนน่าตกใจ ( ให้งานสารคดีออกมาดีจนไม่รู้ว่าถ่ายมาเสีย )... การตัดต่อ จริงๆแล้วไม่มีสูตรตายตัว ขึ้นอยู่กับผู้ขายงาน ( ฝ่ายผลิต ) และความพอใจของผู้ซื้องาน ( ฝ่ายลูกค้า ) เพียง 2 ฝ่ายเท่านั้น ความพึงพอใจของลูกค้าแต่ละคน ไม่เหมือนกันทุกคน แต่อาจคล้ายกันได้ ประสบการณ์ ทักษะ ที่เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันในการทำงาน คุณสามารถนำมาปรับใช้และผลักดันให้ก้าวขึ้นมายืนอยู่แนวหน้าได้ ขึ้นอยู่กับคุณ... ว่าจะมีความสามารถพลิกแพลง ...ปรับเปลี่ยนนำมาใช้ได้หลากหลาย ...มากน้อยเพียงใด ..( จริงๆแล้ว ไม่ว่าคุณจะตัดแนวไหน หลักก็คล้ายกันหมดล่ะคับ ) ...อย่างไรก็ตาม ผมอยากฝากถึงน้องใหม่ในอาชีพนี้ว่าในวันข้างหน้าเมื่อคุณประสบความสำเร็จไม่อยากให้คุณลืมคนที่คอยเป็นแรงผลักดันให้คุณอยู่เบื้องหลังนั่นก็คือ คนใกล้ตัวที่สุดของคุณ...ไม่ว่าจะเป็น...คนรัก... หรือครอบครัว ....หรือคนที่พยายามเข้าใจงานของคุณ( เข้าใจอย่างเดียวไม่พอต้องทำใจยอมรับด้วย)...เข้าใจว่า....คุณไปถ่ายทำต่างจังหวัดนานหลายวัน . ......ทำใจยอมรับว่าไม่ได้เจอหน้ากันเป็นอาทิตย์...เข้าใจว่า....วันหยุดคือวันทำงานของคุณ ......ทำใจยอมรับว่าไปเที่ยวด้วยกันเหมือนคู่รักคนอื่นๆไม่ได้ ...เข้าใจว่า....คุณทำงานไม่เป็นเวลา ... ...ทำใจยอมรับว่าบางครั้งก็ไม่สามารถทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้...หลายครอบครัวที่ทิ้งคนข้างหลังเหล่านี้ ทั้งๆที่เขาพยายามเข้าใจในงานอาชีพของคุณแต่อาจทำใจยอมรับพฤติกรรมการทำงานของคุณไม่ได้......อยากให้คุณเข้าใจความรู้สึก..ความเหงา..ความว้าเหว่..ของคนข้างหลังที่จะต้องเผชิญปัญหาตามลำพัง...ในเวลาที่คุณไม่อยู่หรือ...ในเวลาที่เขาต้องการคุณ.......การแข่งขันก็เหมือนกับการปีนเขาเพื่อขึ้นสู่ยอดเขาที่สูงหลายครั้งที่เราตั้งใจและทุ่มเทกำลังกายของเราอย่างสุดความสามารถเพื่อขึ้นไปยืนณจุดที่เราฝัน.....และเมื่อถึงวันนั้น ( วันที่คุณได้ขึ้นไปยืนบนยอดเขาจริงๆ ).คือ.วันที่คุณมีชื่อเสียง( ไปไหนใครก็อยากรู้จัก) ... และมีเงินทองมากขึ้น( ใครๆก็อยากจ้างคุณทำงาน).. แต่จะมีประโยชน์อะไร..เมื่อคุุณต้องขึ้นไปยืนอยู่ลำพังเพียงคนเดียว..( โดยไม่มีครอบครัวและคนที่คุณรัก )...อยู่เคียงข้าง...กลับกันถ้าเราต้องการขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อแข่งขันกับคนอื่นเหมือนเดิมแต่เราไม่รีบร้อนค่อยเป็นค่อยไป เดินไปคุยไป ประคองคู่ไปกับครอบครัวหรือคนที่เรารัก เราอาจหยุดเดินเพื่อชมดอกไม้ ( โดนบังคับให้ไปเที่ยวด้วยกัน ) หรือนั่งเงียบๆชมพระอาทิตย์ตกดินระหว่างทาง ( ไม่ให้รับงาน แม้งานนั้นคือโอกาสทองของเรา ) เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อเราออกเดิน...จุดหมายที่เราฝันคงต้องถึงสักวันอาจช้าหน่อยไม่เป็นไร .(.ยังไม่มีชื่อเสียง ไปไหนไม่มีใครรู้จัก รายได้จากการทำงานน้อย .)..แต่เรามีความสุข ...เราอบอุ่น ...ที่มีคนคอยฟังเรื่องราวดีๆที่เราไปเจอมา ...และคอยชื่นชมให้กำลังใจกับผลงานของเรา ( แม้จะไม่มีใครชอบเลยก็ตาม ).....ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม เราอยากให้คุณคิดถึงครอบครัวก่อน.....[ แก้ไขล่าสุดโดย p0p-it เมื่อ 2011-05-21 16:58 ]