เอามาฝากกันครับ เผื่อมีประโยชน์

หลังจากภาคแรกที่ทรอนได้ออกฉายไปนาน กว่า 28 ปี ทาง ดิสนีย์ก็ได้เอาทรอนมาสร้างภาคต่อ โดยได้นักแสดงนำชุดเดิม กลับมาเล่นและได้ยกเครื่องการดีไซน์ใหม่ทั้งหมด
หนังเรื่องนี้ถ่ายทำในแวนคูเวอร์ แคนาดา โดยได้ผู้กำกับ โจเซฟ คอซินสกี้ ที่เคยกำกับโฆษณา เกม Gear of War : Mad world และ อีริก บาบาร์ ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟกต์รางวัล ออสการ์ จากบริษัท Digital Domain มาดูแลเทคนิคพิเศษ
ในระหว่างการถ่ายทำ ทรอนได้เลือกใช้กล้อง 3 ตัวใหม่ที่พัฒนา ต่อจาก Avatar มาใช้ทั้งเรื่องโดยได้ผู้กำกับภาพที่ได้เสนอเข้า ชิงรางวัลออสการ์ Claudio Miranda มาดูแลภาพในหนังทั้งหมด
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องดีไซน์ แน่นอน ทีมดีไซน์ เนวิลล์ เพจ และ คริสทีน คลาร์ก ได้แรงบัลดาลใจมาจากทรอนภาคแรก ซึงก็นำเอาดีไซน์จากภาคแรกมาปรับใหม่

ในด้านดนตรีประกอบนั้นทาง ดิสนีย์ว่าจ้างให้ ดาฟท์ พังค์ นักดนตรี แนว Electronica สุดฮอทมาแต่งเพลงประกอบ ให้ทั้งหมดและแสดงเป็น โปรแกรม MP3 ที่คอยบรรเลง เพลงในคลับ
ทรอนภาคแรกนับเป็นหลักไมล์สำคัญของวงการวิชวลเอฟเฟกต์จากการใช้ CGI เข้ามาช่วย ตลอดทั้งเรื่อง... และเมื่อทรอนกำลังจะสานต่อ ความสำเร็จจากภาคแรก จึงได้เลือกผู้ดูแลวิชวล เอฟเฟกต์รางวัลออสการ์จาก เรื่อง Benjamin Button “อีริก บาบาร์” และได้เลือก Digital Domain เข้ามาดูแลการทำเทคนิคพิเศษ “เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สองที่เราใช้การสร้างแบบ เดียวกับเรื่องอวาตาร์” บาบาร์กล่าว “ Digital Domain เลือกเอา หน้าของเจฟสมัยอายุ 30 จากหนังเรื่องต่างๆ มาเป็นต้นแบบ เราสแกน หน้าเขาลงไปในคอม พิวเตอร์และใช้ Perfomance Capture ใส่ขณะ ถ่ายทำเลย
โลกของทรอนนั้นทุกอย่างคือดิจิตอล ดังนั้นสิ่งของทุกอย่างจึง อยู่ในสภาพสดใหม่ แต่ผู้กำกับบอกว่าอยากให้มันจับต้องได้ ด้วย ดังนั้นเราจึงใส่รอยฝุ่นและควันเข้าไปด้วย เหมือนกับเรา เอากล้อง ปถ่ายในโลกใบนั้นจริงๆ” สิ่งที่เราเติมเข้าไปคือแม้โลกนี้จะต้องดูสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างจะ ดูเหมือนพื้นผิวแก้ว สิ่งที่ทีมวิชวลเอฟเฟกต้องนำไปทำต่อคือ การ เปล่งแสงทั้งจากตัว Light cycleและจากนักแสดงเองก็มา จากของจริงอยู่แล้ว สิ่งที่ทีมงานเพิ่มเข้าไปก็คือแสงที่มาจาก สภาพ แวดล้อมข้างนอก การหักเหแสงบนพื้น (ในเรื่องเรียกว่า ‘กริด’) และการสะท้อนในโลกของทรอนทั้งเรื่อง
ฉากที่โหดที่สุดในเรื่องคือตอนที่แข่ง Light cycle มีที่สูงขึ้นไป ถึงสามชั้นด้วยกันพื้น กริดนั้นจะเป็นกระจกซ้อนขึ้นไปถึงสามชั้น ทำให้ทีมงานต้องใช้ทั้งเวลาในการปรับแต่ง รายละเอียด และการเรนเดอร์ที่นานมากๆ
เมื่อทรอนภาคแรกออกฉาย มันไม่ได้ฮิตถล่มทลายแบบหนังที่ฉายใน ปีเดียวกันอย่่าง อีที และก็ไม่ได้ถูกยกย่องอย่าง Blade Runner แต่หลังจากนั้นมันก็สั่งสมบารมีของมันเองด้วยการเป็นแรงบัลดาลใจ ให้คนอื่นๆ อย่าง จอห์น ลาสเซเตอร์ ผู้กำกับทอย สตอรี่ 1-2 เขา เองก็เป็นคนๆ หนึ่งที่ได้ดูทรอนและเริ่มหันมาสนใจงาน CGI และได้ กลายมาเป็นบุคคลสำคัญในวงการ CGI อยู่ ณ ปัจจุบัน
ในสื่อกระแสหลักอย่าง South Park และ Simpsons เองก็เคยเอา ทรอนไปล้อด้วย ใน South Park ตอน ‘You have 0 friends’ สแตน เด็กตัวเอกของเรื่องถูกดูดเข้าไปในโลกของเฟซบุ๊ก ซึ่งก็นำเอาโลก ของทรอนมาใช้เต็มๆ
ซิมป์สันเองก็นำเอาทรอนมาล้อใน ‘Tree house of Terror VI’ ตอนที่ โฮมเมอร์เข้าไปในมิติที่สาม เขาบรรยายสภาพแวดล้อมว่า“มันเหมือน หนังเรื่อนทรอนเลย” แต่ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่เคยดู...”
ทั้ง Dextor, Family Guy ต่างก็หยิบเอาทรอนไปล้อกันอย่างขำๆ เช่น ใน Dextor ตอน ‘Game Over’ ที่หยิบเอาฉาก Light Bike ไปล้อ และ Family Guy ตอน ‘A Hero Sits Next Door’ ก็ให้คุณพ่อปีเตอร์ สวมชุดเรืองแสงสีฟ้าแบบเดียวกับที่เหล่าตัวละครในทรอนใส่กัน
และในโลกจริงๆยังมีแฟนบอยชื่อ Tron Guy ที่ลงทุนทำชุดทรอน แล้วไปโพสตในยูทูปจนมีคนดูนับ สิบล้าน และดังถึงขนาดออก ราย การทีวีไปทั้งหมด 12 รายการ รวมทั้งได้เครดิตในทรอนภาคนี้ด้วย ศิลปินดาฟท์ พังค์เองก็ได้แรง บัลดาลใจจากทรอนไปทำดนตรี แนว Electronics และสร้างชุดใน การแสดงคอสเสิร์ทเหมือนกับทรอน จะเห็นได้ว่า สังคมอเมริกันนั้นได้ อิทธิพลจากทรอนไปมากทีเดียว
ดูกันเต็มๆ ที่นี่
http://www.filmsnmovies.com/video/10461/tron_legacy_d23_cultural_references/เอามาจากเว็บ CGI-THAILAND ครับ
www.cgithailand.com****ปล. ไปดู Imax 3D มา หนังก็สนุกดีครับ มีมิติลึกพอๆ กับอวตาร์เลย
ที่ชอบที่สุดคือดนตรีของดาฟท์ พังค์ ช่วยให้หนังมีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ