เคยโพสเกี่่ยวกับคดีที่โปรดัคชั่นทำงาน 2 ปีแล้วไม่ได้เงิน ขึ้นศาลฟ้อง3 ศาล 3 ปี สืบพยาน สุดท้ายเจ้าหนี้ยอมประนอมหนี้ ขอผัดผ่อนใช้ แต่( กูจะไม่จ่ายเสียอย่าง )
ใช้เพียง 3 งวดไม่จ่ายต่อ ทำให้โปรดัคชั่นต้องทำใจเลิกทวง เพราะไหนเงินต้นไม่ได้เงินใหม่ต้องจ่ายค่าทนาย เลยกลายเป็นตำนานที่ใครๆมักถามถึงเวลาเห็นเช็คติดข้างฝา
หรือสัญญาว่าจ้างการทำงาน ที่ลูกค้าไม่ยอมจ่ายทำไมไม่ฟ้อง ก็ด้วยเหตุนี้.. และวงล้อประวัติศาสตร์ก็หมุนกลับมาอีก
มีบริษัทโปรดัคชั่นเหยื่อใหม่ ทำรายการ 2 ปี ให้กับบริษัทหนึ่ง ติดหนี้เป็นเงิน 4 ล้านแต่ด้วยเหตุผลกลใด บริษัทลูกค้าไม่จ่ายบอกถ้าฟ้องก้อจะฟ้องกลับ 10 ล้านเหมือนกัน ฐานทำให้บริษัทเสื่อมเสียชือเสียง .....ในที่สุดก็เกิดขึ้นอีกคดี ( ที่ไม่รู้อีกนับ 10 คดีกำลังขึ้นศาล ) มาคิดเล่นๆกัน ..
-
ถ้าฟ้องเกิดแพ้ 2ปีที่ผ่านมาไม่ได้เงินทำงานฟรี เหนื่อยฟรี และยังต้องมาจ่ายเงินให้เขาอีก( 10 ล้าน )บวกค่าทนายอีก จะคุ้มมั๊ยเนี่ย..
( ลูกค้าได้งานฟรี แถมได้เงินเป็นโบนัสติดกระเป๋าอีก )
-
และถ้าชนะ ลูกค้ายื้อ 3 ศาล เงินต้นที่ได้มาหักลบค่าทนาย ค่ารถ ค่าเสียเวลาต้องขึ้นศาลทุกเดือน ค่าเสียโอกาสไม่สามารถรับงานยาวไปต่างจังหวัดได้
จะเหลือเงินสักเท่าไร...จะคุ้มมั๊ยเนี่ย..
....ก้อเลยคิดว่า..อยากจะโพส " ข้อควรระวังในการรับงาน " สำหรับมือใหม่นะ
- เริ่มแรกขอตั้งสมมติฐานในการรับงานว่า ลูกค้าดี งานง่าย ได้เงินเยอะ มีน้อยมากในโลกนะคับ...( ไม่ใช่ไม่มี ผมพิมพ์ว่ามีน้อย ถ้าใครเจอถือว่าคุณโชคดีมากๆๆๆๆๆ ) 1.
ถ้าลูกค้าติดต่อคุณมา ด้วยกรณีใดก็ตาม ด้วยรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม ให้ถามว่ารู้จักคุณได้ยังไง ถามถึงที่มาและคนแนะนำ เผื่อเกิดอะไรขึ้นที่ไม่ชอบมาพากล
จะได้สืบหาข้อมูลได้ เช่น นิสัยลูกค้าคนนี้เป็นไง, สนิทมากน้อยแค่ไหน ฯลฯ
2. เ
มื่อคุยกับลูกค้าแล้ว เห็นเป็นคนดี และที่สำคัญรวยพอจะจ่ายเงินให้คุณได้ ถามต่อไปว่า ให้คุณทำงานอะไร เช่นผลิตรายการทีวี ผลิตส่งฟรีทีวี หรือเคเบิ้ล หรือ.... ถึงตอนนี้อยากให้คุณๆใช้สมองหน่อย ส่วนมากถึงขั้นตอนนี้รับหมด คิดถึงความเป็นไปได้ของงานว่า ของจริงหรือของลวง
เช่นทำส่งเคเบิ้ลทีวี เคเบิ้ลทีวีใหญ่ๆมักไม่ให้โฆษณานะคับ และเขาจะได้รับรายได้มาจากไหน เป็นไปได้หรือที่คนรวยจะมาเสียเงินฟรีๆ ต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง
หรือทำส่งเคเบิ่ลที่โฆษณาได้ คิดต่อว่า เขาจะได้รายได้สักเท่าไหร่ (ประเมินตอนหลังก็ได้)
3.
สมมติว่าตกลงเขาบอก เขาผลิตสินค้าเขาเอง เขายอมทุ่มทุน เสียเท่าไหร่ไม่ว่าของานแบบมีคุณภาพ ตรงนี้ขอบอกอย่าเพิ่งตาโต
( บอกกินหมูคำโตปากมัน ) สำคัญนะคับขั้นตอนนี้จะทำให้ คุณเป็นหนี้ในอนาคต หรือจะติดคุกในอนาคตตรงนี้แหละคับ คิดค่าโปรดัคชั่นให้ดี ว่าคุณจำต้องใช้จ่ายเงินเท่าไหร่ คิดให้ตรงกับความเป็นจริง อย่าเวอร์จนเกินเหตุ และพยายามอธิบายให้เขา เข้าใจว่า ทำไมคุณถึงคิดราคาแพงเท่านี้ เพราะอะไร
เช่น ต้องมีเครน มีผู้ช่วย มีดอลลี่ ไฟตูม 8 ดวง 10 K อะไรทำนองนี้ กล้องเลนส์ตัวละ แสน พูดไปให้เข้าใจ และบอกตบท้ายว่า ถ้าต้องการ
ถูกกว่านี้ก็ทำได้ โดยตัดไฟตัดอุปกรณ์เสริมพวกนี้ออก เหตุผลที่ผมพูดว่าสำคัญก็ เพราะเมื่อแรกลูกค้าทำกับคุณด้วยเชื่อใจหรือคนแนะนำ
และด้วยความรีบของสินค้าหรือของเวลาที่เขาจอง ไว้ เขาอาจจะรีบจ้างคุณ แต่พอมาสักพัก เริ่มเจอคนมาก คนอื่นบอกราคานี้โปรดัคฯนี้โหด
มาจ้างผมซิ คุณภาพเท่านี้ราคาถูกกว่าครึ่ง เขาจะว่าเราเลวโดยสายตา เป็นมูลเหตุทำให้ลูกค้าเริ่ม เบี้ยวไม่จ่าย เพราะเขาคิดว่าคุณฟันหัวเขาแบะ
เขาก็เลยแก้เผ็ดคุณด้วยลูกเล่นทางกฏหมาย บอกเลยนะร้อยทั้งร้อย คนรวยมีนักกฏหมายประจำบริษัทฯ ยังไงคุณก็แพ้คับ ...
4. ลูกค้าปัจจุบันมีเพียง 2 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 ...
ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรเลยก็ดีอย่าง คือทำอะไรเอาหมด และก็รื้อหมดได้เหมือนกัน ก็กูไม่รู้กูจะเอา เหนื่อยโคดๆนะใครเจอ
สำหรับผมไม่อยากเจอเลยแบบนี้เหนื่อยจนท้อเลยล่ะ
ประเภทที่ 2 ..
.ประเภทเขี้ยวลากดิน . เอานั่นเอานี่เอาหมดทุกอย่าง แก้ทุกเฟรม รื้อทุกเอฟเฟคที่คุณทำ บอกทุกขั้นตอนการผลิต
มุมกล้องแบบนี้ โทนนี้่ ดูก่อนถ่ายแก้หลังถ่ายดูก่อนตัดแก้หลังตัด ดูก่อนส่งงานและก็แก้หลังส่งงาน แล้วก้อแก้ๆๆๆๆๆ ไม่เสร็จสักที
ทำงานอื่นไม่ได้เสียโอกาสรับงาน ขั้นนี้ยอมทิ้งงานไม่เอาส่วนที่เหลือเลยคับ..
...ใครขอบแบบไหนเลือกเอาเลยนะคับ ..( แหมอยากตั้งประเด็นใหม่จังเลย ดูซิใครจะชอบแบบไหนมากกว่ากัน )
เอาล่ะ...ผ่านมาถึงขั้นตอนนี้ คือ ตกลงจ้างคุณทำ ตกลงเรื่องเงิน ถึงขั้นตกลงรายละเอียดการทำงาน นี่แหละนรกเลยล่ะอ่านให้ออกว่า เขาคือลูกค้าประเภทไหน 1 หรือ 2 และคุยไป คุยๆๆๆๆๆคุยให้รู้เรื่องไม่งั้นจะมีปัญหาแบบที่ผมจาระนัยให้คุณฟังถึงลักษณะนิสัยของคน และคิดอย่างไม่โกหกกับตัวคุณว่า
คนประเภทนี้รับไหวไหม ไม่ไหวหาคนมาช่วย ( มาร่วมทุกข์ )ค่าใช้่จ่ายเพิ่ม แต่ชัวร์ว่างานผ่าน ก็โอเคเลย แต่ถ้าคิดว่าไม่ไหว เกินกำลังหรือคุยแล้วปัญหาเยอะไม่รู้จบ
พอจับนู่นโผล่นี่ ไล่ไม่ทันสักที ให้รีบถอย เช่นบอกอยากได้ดีๆ แต่พอพูดเรื่อเงินบอกงบไม่มี นั่นแหละ ให้คิดเยอะๆเลย เป็นไปได้ไง อยากได้ดีๆ แต่ไม่เพิ่มค่าใช้่จ่าย ..
คนไม่ใช่ควายจะได้กินหญ้าไม่กินข้าว ..( บอกสุดท้ายเลยนะถ้าไม่รับงาน... แต่อย่าทำเลย ผูกมิตรเอางานหน้าไว้ดีกว่า )
5.
การรับงานไม่ควรรับงานโดยตรงจากโปรดัคชั่น เช่นคุณเป็นช่างภาพหรือตัดต่อคืออยู่ในส่วนโปรดัคชั่นฯ ให้หาน้องหรือประสานงานหรือฝ่ายตลาดมาคุยแทนคุณ
แล้วคุณคอยฟังคอยเสริมคอยเขยิบตาให้ว่าทำหรือไม่ทำ จะได้กลับมาคุยกันภายในได้ว่า เหตุการณ์แบบนี้สู้หรือถอย เพราะโปรดัคชั่นพวกคุณน่ะใจอ่อนเป็นปลาซิว
เห็นงานลูกค้าเสนอ ไม่ได้เงินแต่มันส์เอาวะ สุดท้ายเป็นหนี้ไม่รวยกันสักที ใจเย็นๆๆ ปล่อยให้น้องเขาเล่นบทเจ้านายไป และเมื่อถึงเวลาคุยหรือเวลาทำงาน
ถ่ายงาน เขาเพิ่มนู่นเพิ่มนี่ อะไรที่เกินเหตุคุณก็อ้างไปเลย เดี๋ยวบริษัทว่าผมเพราะทำเกิน ค่าใช้จ่าย ก็คือตัวคุณคิดเองแหละ คือจะบอกว่ากูไม่ให้
ก็เสียลูกค้าก็ต้องบอกน้องไม่ได้บอกผมว่าจะมีนี่ด้วย ผมเลยไม่ได้เตรียมอุปกรณ์มา ถ่ายไปก็ไม่ดี แต่ไงผมจะลองทำดู ฯลฯ อะไรทำนองนี้
6.เมื่อได้ทำการตกลงรายละเอียดพูดคุยกันแล้ว ทีนี้ก็มาถึงการวางเงินเป็นค่ามัดจำในการทำงาน บางคนถามว่าควรมัดจำเท่าไหร่ดี มีมาตราฐานไหม( สำหรับผมส่วนตัว ) คิดจากจำนวนเงินที่ลงไปโดยไม่หักกำไรนะคับ เช่น สารคดีเรื่องนี้ 3 หมื่น คิดค่าใช้จ่ายออกมาแล้วทั้งหมด จ้างผู้กำกับ จ้างตัดต่อ ไฟ เครน ดอลลี่ รวม 2 หมื่น เหลือกำไร 1 หมื่น จำนวนเงินมัดจำคือ 2 หมื่นบาทคับ ไม่ใช่ 50% เหมือนที่เข้าใจ การวางมัดจำหมายความว่า เมื่อเกิดกรณีลูกค้าไม่จ่ายเงินขึ้นมา คุณต้องไม่เป็นหนี้ คุณาจทำงานฟรี ไม่ใช่ คิด หมื่นห้า ต้องมาเป็น
หนี้อีก ห้าพัน ไม่ใช่วิธีการคิดเงินที่ถูกต้องนะคับ สมัยก่อนคิดมัดจำครึ่่ง เพราะต้นทุนครึ่งกำไรครึ่งไงคับ
7. .ยุคปัจจุบันเป็นยุคใช้คอนเนคชั่น ใครที่เคยทำงานคนเดียว กำกับคนเดียว เขียนบทคนเดียว หรือพวกวันสต๊อปเซอร์วิส ต้องเริ่มปรับ
ตัวแล้วนะคับ เพราะคุณทำงานคนเดียวเก่งจริงยอมรับ ไม่มีใครทำงานดีเท่าคุณได้ แต่ผมถามหน่อยว่าคุณจะทำงานได้กี่วัน 1 อาทิตย์,
1 เดือน , 2 เดือน ถ้าผ่านถึงเวลานี้ก็เป็นซอมบี้แล้ว ฉนั้นควรสร้างเด็กใหม่ให้ขึ้นมารับงานแทนคุณ แรกๆเขาทำงานไม่ได้ดีหรอกคับ
แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปนาน เขาจะเก่งเท่าคุณเอง และเมื่อมีงานอะไรที่เข้ามาพร้อมกัน คุณก็วางใจให้เขารับลูกค้าได้เพราะเชื่อใจ และ
ทำไมถึงพูดกรณีนี้ ก็เพราะสวนมากที่ขึ้นศาลก็กรณีล่ะคับ หมายความว่า บริษัทคุณมีทีมงาน 5 คน รับงานได้ 1 งาน ลูกค้าเห็นคุณทำงานดี
เพิ่มอีก 2 รายการ ทีนี้ทำไงดี ส่วนมากรับหมดแล้วซับ นี่แหละคับอนาคตขึ้นศาลแน่ๆเพียงแต่รอว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ถ้าใช้มาตราฐานที่ผม
บอกทำงานอย่าให้เป็นหนี้ รีบซับเลยคับอย่ารับมา เพราะลูกค้าไม่จ่ายเงินเมื่อไหร่ คุณรับผิดชอบคนเดียวนะคับ ไหวไหม ทีนี้หายสงสัยยัง ว่าทำไมโปรดัคชั่นนี้ปล่อยให้ลูกค้าเป็นหนี้ได้ไง และสมมติต่อไปรายการนี้เป็นรายการท่องเที่ยวต่างจังหวัด มีพิธีกรดัง สาวสวย เซ็กซี่ 2 คน
ชายหนุ่ม 1 คน เป็นเรื่องท่องเที่ยวแบบเอ็กซ์ตรีม มันส์สนุกสมบุกสมบัน ไปเที่ยวเกาะต่างๆ คุณมองออกยังว่าต้องใช้จ่ายมากแค่ไหน ทีมงาน
รถตู้ ทีมไฟ ทีมอุปกรณ์ ทีมผลิต ค่าที่พัก ค่าเรือเดินทาง เช่าเรือเพื่อแสดง และตัวค่าพิธีกร สาวสวย 1 หนุ่มหล่อ ก็ล่อไป 5 หมื่นแล้วเพราะเป็นดาราศิลปินดัง
รวมค่าโปรดัคชั่นก็ แสนห้า เดือน 6 แสน ลูกค้าเพิ่มอีก 1 รายการ เป็นเที่ยวป่าคอนเซ้ปเดียวกัน รวม 1 เดือน ล้าน 2 มองภาพออกยังเดือนเดียว
....ฉนั้นตัวเลข 4 ล้าน ไม่ไกลเกินฝัน และเกิดโฆษณาดีเข้าเป้าลูกค้าเพิ่ม 3 รายการ ทีนี้ลงนรกทั้งทีม...
8. ผ่านมา 7 ขั้นตอน ถึงขั้นตอนการผลิต ผมว่าไม่มีปัญหาแล้วล่ะ เพราะมันต้องว่าไปตามขั้นตอนของการคุย จะมีปัญหาก็ตอนตัดต่อ ที่ลูกค้ามองภาพไม่เห็น
คือคุณคุยแบบนี้ลูกค้ามองแบบนั้นก็แก้กันไป แต่ขอนะ อย่าทิ้งงานเลย ( ถ้าทนไหว ) ลูกค้างี่เง่าแก้แล้วแก้อีก โปรดัคชั่นต้องทำใจ เครียดไปเดินเล่น
ทนไม่ไหวพักกินเบียร์ หรือถนัดนั่งสมาธิ ทำอะไรทำไปเถอะแต่งานคุณต้องทำต่อยกเว้นว่าทำแล้วทำอีก ลูกค้าคุยไม่รู้เรื่องถึงตรงนี้ต้องคิดแล้ว
ยอมเสียชื่อที่สร้างมาไหวไหม ถ้าไม่ยอมก็ต้องทน แต่บอกเลยขั้นตอนนี้มีเหมือนกันนะ ที่โปรดัคชั่นทิ้งงาน แต่บอกเสี่ยงนะ
ผมคิดว่าคงหมดทุกประเด็นแล้ว ( ถ้าพี่ๆหรือใครมีนอกจากนี้ ก็โพสมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้ก็ดีคับ ) ชีวิตโปรดัคชั่นอย่างที่บอกมีแต่ติดลบ กับเสมอตัว
เพียงแต่เรามีความสุขที่ได้ทำส่ิ่งดีๆให้เกิดขึ้นบนโลก เหมือนศิลปินสร้างงานนั่นแหละคับ เงินสำคัญแต่ไม่จำเป็น มีน้อยกินน้อย มีเยอะก็ดี
" ฉนั้นอยากให้คิดลูกค้าในแง่ลบไว้ก่อน เพราะคนเคยดีอาจเป็นคนเลวได้ถ้ามีเหตุจำเป็น " ระวังนะคับ กินนอนด้วยกันเที่ยวด้วยกัน ยามดีก็ยกยอ ยามเลวไม่จ่ายเงินเฉยเลย........ลูกค้าปัจจุบันไม่โง่เขาก็มีความรู้เท่าๆกับพวกเรา ฉนั้น มิตรภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด และทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ อย่าเพิ่งคิดถึงเงิน งานนี้ลูกค้าไม่มีเงินเงินน้อย แต่งานหน้าเมื่อลูกค้้ามีเงินมากเขาก็คิดถึงเรา เ เพราะงานที่คุณทำเงินน้อย แต่พอเขาไปเปิดดูที่อื่นใครๆก็พูดถึงบอกทีมนี้ทำดีทำถูกคนอื่นเสียแพงกว่าคุณ 2 เท่ายังทำไม่ดีเท่าของคุณแค่นี้ลูกค้าก็ปลื้มแล้ว ต่อไปมีอะไรเขาก็จะคิดถึงคุณก่อนคนอื่นเสมอ ลูกค้าที่ตั้งใจโกงโดยว่าจ้างโปรดัคชั่นแล้วหาเหตุผลไม่จ่ายเงิน เมื่อถึงที่สุดโกงไปทั่ว ก็เปลี่ยนชื่อใหม่ อย่างคดีข้างต้น ลูกค้าได้ปิดบริษัทฯแล้วเปิดบริษัทใหม่ คนทำงานเก่าลาออกไปหมด ทีนี้โปรดัคชั่นจะให้ใครเป็นพยาน มีแต่พยานฝ่ายโปรดัคชั่น ศาลจะฟังหรือ พยานทางฝ่ายลูกค้าไม่มีสักคนจะไปควานหาใครจเขากลับ ตจว.หมด.........สรุป...พยายามกันความเสี่ยงไว้ ดูงานทั้งหมดว่าเราทำได้หรือไม่ ความสามารถเรามีแค่ไหน งานใหญ่ไปไม๊ งบเงินทุนหมุนเกินตัวหรือเปล่า เช่นลูกค้าให้มา 1แสน เราเป็นช่างภาพ ได้ 1 หมื่น เราต้องรับเงินเสี่ยง 9 หมื่น ( คือส่งงานลูกค้าไม่จ่ายเงิน คุณต้องจ่ายเงินพวกทีมงานที่จ้างมา ) ถ้าแบบนี้แนะนำให้บอกลูกค้าไปเลยผมทำเป็นแค่ช่างภาพเท่านั้น ส่วนขั้นตอนอื่น กำกับ ต้องคนนี้จัดแสงต้องทีมนี้ ตัดต่อบริษัทนี้ ผมรู้จักหมดครับเพราะเคยทำงานร่วมกันมาก่อน คืองานนี้ๆๆๆ ...ฉนั้นถ้าลูกค้าต้องการงานดีมีคุณภาพ นี่เลยคับ เบอร์โทร ฯ ให้ลูกค้าโทรติดต่อไปเลยในนามลูกค้าไม่ใช่ในนามเรา เมื่อเกิดปัญหาคุณจะได้ไม่ต้องจ่ายหนี้แทนลูกค้า ลูกค้าบอกผมพูดไม่เป็น คุณติดต่อไปเลย นั่นแหละให้ระวัง 18 มงกุฏมาแล้ว ถ้าลูกค้าดีต้องการงานดีประหยัดงบเขาต้องทำอยากให้คุณตระหนักไว้นะคับ ว่างานที่คุณได้เงินเยอะๆ งบมากๆหรือที่เขาว่าจ้างให้คุณเงินเดือนสูงๆ ไปทำโปรดัคชั่น เขาไม่ให้คุณไปเดินเล่น นอนคุยฆ่าเวลา เขาใช้งานคุณตายเลยนะคับ เช่นมีบริษัทฯเคเบิ้ลทีวียักษ์ใหญ่ ต้องการโปรดิวเซอร์ คุม 3 รายการ คุมถ่าย คุมตัด คุมออนแอร์ ให้ 80,000 บาท โห เพื่อนๆเดินหนีหมดเลย เพราะเงินเดือนขนาดนี้เขาเอาคุณตายแน่คับ แต่ถ้าเงินเดือน 25,000 -30,000 เออน่าสน น่าลอง ให้คิดทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล เปรียบได้กับงานที่คุณได้มา สมมติสารคดี30นาที ปกติ 5 หมื่น แต่คุณรับมา 3 แสน ระวังนะคับ ได้ยอดสูงๆนี่ล่ะตัวดีนัก บางทีทำแล้วแก้ แก้แล้วถ่ายใหม่ถ่ายใหม่ตัดใหม่ ซ่อมใหม่ แก้ไปมาอยู่นั่นแหละ หักลบล่อไป 3 เดือนกว่าปิดงาน สู้รับงานเล็ก ๆ3-4 หมื่น เดือนเดียวปิดจ๊อบ รวมแล้วได้มากกว่าเวลาที่เสียไปให้กับงานใหญ่อีก ( อย่างงานแต่งงาน 1 วัน 3 พัน 2 วัน 6 พัน แต่เป็นโปรดิวเซอร์รายการได้ 5 พัน ทำทั้งวันทั้งคืน ลูกค้าแก้แล้วแก้อีก ไม่พอใจงานก็ไม่ได้เงิน )และข้อสุดท้ายระวังให้มาก........อย่าเผลอตัวเผลอใจไปเพราะลูกค้าสวย หรือแผนกการตลาดเซ็กซี่เปิดกระดุมเม็ดบน เวลามาคุยงานกับเราหัวใจแทบละลายจะปฏิเสธก็ปากค้าง พูดไม่ออก น้องเขาขอนั่นขอนี่ทำปากจู๋ โหให้หมดเลย ไม่พอแถมให้อีก ..ผมเจอมาหมดแล้ว งานนั้นแก้งานเกือบ 3 เดือน ไม่ต้องทำงานอื่นเลย ไอ้พวกโปรดัคชั่นโรคจิต ....( แก้ไม่หายสักที ทุกวันก็ยังเป็นอยู่ )..โรคแพ้ความสวยนี่ รับงานทีไรเจ๊งทุกที......ไหงมาจบตรงนี้ได้ไม่รู้นะ ..( ใครรู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ อย่าคุยงานเอง ขอเตือน )..[ แก้ไขล่าสุดโดย p0p-it เมื่อ 2011-10-24 12:21 ]