สวัสดีคับ เขียนมานานยังไม่ได้ทักทายเลย วัตถุประสงค์ในการเขียนเพื่อ..1.
อยากให้น้องใหม่รู้ว่า การเข้ามาในวงการไม่ยากอย่างที่คิด....( และก็ไม่ง่ายเหมือนกัน )
2.
สร้างภาพรวมให้มองเห็นความต้องการของคนในวงการฯจริง.. อาจไม่ตรงกับทฤษฏีที่เรียน ก็นำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ( ได้เรียนดีกว่าไม่ได้เรียน )
3.
การจะได้มายืนอยู่บนแนวหน้า ไม่ใช่เป็นเพราะดวง คนที่เก่งด้วยดวงจะอยู่ได้ไม่นาน เดี๋ยวมาก็ไป จะเหลือแต่คนที่มีความสามารถจริงเท่านั้น
4.
การฝึกและฝึก คือสิ่งที่คุณต้องทำเป็นประจำ เช่นเดียวกับการเรียนว่ายนำ้ เรียนจากตำรายังไงก็ว่ายไม่เป็น ถ้าคุณไม่ได้ลงนำ้แล้วว่ายนำ้จริง
......ไม่ว่าคุณจะทำหน้าที่อะไร ช่างภาพ ตัดต่อ เขียนบท กำกับ ฯลฯ ...อยากให้น้องใหม่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งที่ตัวเอง .
.ถนัดที่สุด... รักที่สุด... มีความสุขที่สุด สิ่งเหล่านี้จะช่วยคุณให้ผ่านพ้นความยากลำบากของชีวิตได้ เพราะเมื่อคุณรักและมีความสุขที่ได้ทำ คุณก็สามารถฝึกฝนได้ทุกวันโดยไม่เบื่อ พยายามค้นหาแรงจูงใจที่มี
และผลักดันมันไปให้ถึงที่สุด ขออย่างหนึ่งนะ อย่าเหมาหมดทุกตำแหน่งเลย ( เป็นไปไม่ได้ และเสียเวลามากไป ) คือ..ทำได้ทุกอย่างแต่ไม่เก่งสักอย่าง ( คือ..ดีไม่ที่สุด )
อยากให้ดูตัวอย่าง เคเนนจี ที่เป่าฟลุ๊ต เป่าอย่างเดียว แต่ดังทั่วโลก ( ทำอย่างเดียวแต่ดีให้ที่สุด ) รวยกว่าคอนดัคเตอร์คนคุมวง อีกนะ..
นำเสนอมาหลายบทเรียน ทั้งทฤษฏี และการฝึกฝน.......ถึงตอนนี้แล้วเราอยากให้คุณรู้ถึง"..สิ่งที่ไม่อยากให้คุณทำ..เมื่อคุณเก่งแล้ว ".. 1.
อย่าเก่งแต่พูด ถามง่ายๆว่ารู้ได้ยังไงว่าคุณเก่งแล้ว บอกเองหรือใครบอก พี่น้องคนสนิทรอบข้างพูด ถ้าเป็นแบบนั้นถือเป็นของปลอม ( ใครจะยอมรับว่าตัวเองไม่เก่ง )
-
คนเก่งคือคนที่ลูกค้าพูด หรือโปรดิวเซอร์พูด ถึงจะของจริง -คนเก่งคือ คนที่สามารถทำงานได้ดีในเวลาที่สั้นที่สุด เพราะชีวิตการทำงานจริงคุณต้องแข่งกับเวลาและค่าใช้จ่าย
-
คนเก่งคือคนที่สามารถทำงานที่เสีย กลับมาให้ดีได้ เช่น ถ่ายมาเสีย แล้วสามารถแก้ไขเรื่องใหม่จนไม่รู้ว่างานที่ถ่ายมาเสีย
-
คนเก่งคือคนที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ ( เกินความคาดหมายที่ตั้้งไว้ เช่น งบน้อยแต่ทำออกมาดี )
-
คนเก่งคือ คนภายนอกมองแล้วยกย่องคุณ ไม่ใช่คุณมองตัวเองแล้วยกย่องตัวเอง....2. อย่าหยุดการเรียนรู้ ควรหาความรู้เพิ่มเติมตลอดเวลา เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณหยุด นั่นหมายความว่าคุณกำลังถอยหลังไป 14 ปี ( สมัยก่อน ถอย7 ปี ยุคนี้ไฮเทคถอย 2 เท่าเลย ) อย่าลืมว่า แต่ละปีมีคนเรียนจบทางด้านนี้มากี่หมื่นคน มหาลัยเปิด-ปิด ( กี่มหาลัย ), วิทยาลัยต่างๆ ( กี่วิทยาลัย )
รวมถึงคนที่มีความสามารถแต่ไม่ได้เรียนก็มีเพียบในวงการ คนเหล่านี้..กำลังตามติดและพร้อมที่จะขี่คอขึ้นไปแทนคุณ ( รอเมื่อใดที่คุณพลาด )
3.
อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น ( ให้เกียรติกัน ) หลายคนกว่าที่จะก้าวขึ้นมาแนวหน้า ย่อมต้องบ่มเพาะประสบการณ์มาเกือบทุกด้าน และรอบรู้ทุกๆอย่างจากบทเรียนในอดีต บางครั้งสิ่งที่คนอื่นทำอาจไม่ดีในสายตาเรา แต่เขาอาจคิดว่าดีในสายตาของเขา ถ้าเขาไม่ถามความเห็นเราก็อย่าไปยุ่งเขาเลย ปล่อยเขาไปเถอะ เจอคนเก่งหลายคน
มักจะอดรนทนไม่ได้ เช่น ช่างภาพไปยุ่งเรื่องเสื้อผ้า ยุ่งเรื่องไฟ ยุ่งเรื่องการกำกับ ปัญหาก็เกิดล่ะทีนี้ ทุกคนรู้ว่าช่างภาพคนนี้เก่งระดับตุ๊กตาทอง
แต่ยุ่งเรื่องของคนอื่นจนคนอื่นทำงานไม่ได้ ในที่สุด นายทุนต้องปลดช่างภาพออก เพื่อให้งานเดินต่อไปได้
( ระวังอย่าคิดว่าตัวเก่งแล้วคนอื่นต้องยอมเราทุกอย่าง )4.
อย่าโวยวาย ประเภทชอบโวยวายก่อนปัญหาจะเกิด เช่น ลูกค้าขอแก้นั่นแก้นี่ เท่่านั้นแหละ โวยวายเหมือนโลกจะแตก เขาสั่งให้เราแก้เราก็ทำไปเถอะเดี๋ยวก็เสร็จ
โวยวายไปก็ต้องแก้อยู่ดี ( เพราะลูกค้าเขาจะเอา ) .พอดูรายละเอียดของงาน มีแต่แทรกภาพๆๆ ง่ายๆแค่นี้เอง ...แล้วจะโวยวายทำไม.
5.
อย่าต่อว่าคนอื่นเมื่อเขาทำงานผิด( ต่อว่าเกินความพอดี ) ระวังให้ดีเจอมาเยอะ งานเสียกรณีนี้เยอะมาก 50 % คือน้องๆเขาทำผิดด้วยเพราะด้อยประสบการณ์
ตำหนิเพียงเล็กน้อย ถ้าเขารู้สึกผิดก็พอเถอะคับ ( ถ้าเขาฉลาดเขาคงไม่มาเป็นลูกน้องคุณแล้วล่ะ ) ทำงานอาชีพนี้ความผิดพลาดพร้อมจะเกิดขึนได้ตลอดเวลา
ไม่ว่าเราจะเตรียมการและป้องกันให้รัดกุมอย่างไร และมื่อเกิดขึ้นแล้วอย่าไปเสียอารมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น เอาเวลาไปนั่งคิดว่าเราจะแก้ไขมันได้อย่างไรในตอนนี้
และจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นได้อีกในอนาคต ...เพราะถ้าคุณตำหนิเกินความพอดี คนที่ผิดจะกลายเป็นตัวคุณเอง ...
6.
อย่าคิดถึงแต่เรื่องเงินอย่างเดียว ...ถ้าคุณมีเวลาว่าง คือไม่มีอะไรทำช่วงนี้ อาจไปช่วยทำ MV งานแต่งงานให้กับคนมีเงินน้อยบ้าง ( ไม่ใช่คนมีเงินมากเท่านั้นจึงจะได้ของดี )
ช่วยเหลือน้องใหม่ ให้ความรู้ อะไรก็ตามที่ทำแล้วสังคมดีขึ้น ...ไม่ใช่งานนี้งบน้อยไม่คุ้มไม่ทำ, โปรดัคชั่นใหม่เสียเวลาร่วมงาน, โอ๊ยเห็นเนื้อเรื่องแล้วอยู่เฉยๆดีกว่า..
คิดอะไรที่เป็นประโยชน์ (แบบไม่คิดเรื่องเงิน ) คนเราเมื่อเก่งแล้วแต่ไม่นำส่วนที่เป็นประโยชน์ออกช่วยสังคมมันก็ไม่ต่างไปจากก้อนหินที่ไม่ม่ีคุณค่า เพียง 1 ก้อนเท่านั้น
7.
อย่าพูดภาษาเทพ ตราบที่ยังทำงานอยู่บนโลกมนุษย์ ้ เจอเยอะสุด และก็เป็นปัญหามากที่สุด ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงเหมือนกัน ขอนั่นก็ไม่ได้ ขอนี่ก็ไม่ให้
งั้นบอกไม่ทำแล้วก็ไม่ยอมบางทีต้องมานั่งคิดว่า เอ๊ะเราก็พูดภาษคนหรือเปล่า ทำไมเหมือนเวลายิ่งพูดยิ่งไปคนละทาง คือคุยเสร็จ สรุป ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
จะไปอธิบายคนที่รอรับงานต่อจากเราก็ไม่รู้จะอธิบายกับเขายังไง มันตื้อไปหมดทุกๆด้าน ตัวอย่าง เช่น คนลงเสียงประกอบเพลงสารคดี
...
พี่คะ..พรุ่งนี้ขอเทป จะส่งงานให้ลูกค้าดู มันนานมาก ลูกค้าเขาทวงแล้วค่ะ.......................น้องประสานงานตามจิก.....
โอ๊ย สารคดีชุดนี้ยากมาก ขอเวลาอีกหน่อย บอกลูกค้าไป อยากได้งานดีต้องรอหน่อย..เทพเจ้าแห่งแห่งเสียงเริ่มลงประทับองค์
....
เออ..คงไม่ได้มั๊งคะ หนูเลื่อนลูกค้ามาหลายหน เอาอย่างนี้แล้วกัน ขอแบบไม่ดีก็ได้ค่ะ.... น้องประสานงานเริ่มเหนื่อย
..
... โอ๊ย อะไรกัน ให้พี่ทำงานแบบลวกๆ เสียชื่อพี่หมด บอกลูกค้าไปว่าพี่เป็นคนทำ ( โหไปนั่นเลย กลายเป็นเทพเหนือเทพ คิดว่าบอกชื่อปั๊บทุกคนบนโลกรู้จัก ). สรุปงานก็ไม่ได้ จะไปหาลูกค้าก็ไม่ได้ จะบอกคนอื่นๆก็ไม่ได้อีก คือไม่ได้อะไรเลย มันเหมือนตื้อๆอย่างที่บอก เวลาหัวหน้าให้ไปคุยงานกับพี่พวกนี้ กลัวที่สุด
ต้องสืบดูว่า พื้นเพเก่งมาจากสำนักไหน แถวประชาชื่น หรือ แถวนนท์ อิทธิฤทธิ์เยอะแค่ไหน ( พูดเอง เออเอง สรุปเอง พอจะถามก็บอกไม่มีปัญหา พี่เข้าใจๆๆๆ ทำนองนั้นแหละ )...
8.
อย่าอีโก้ หรือเชื่อมั่นตัวเองมากจนคนอื่นไม่อยากร่วมงาน ( เรียกได้ว่ารวมตั้งแต่ ข้อ1 -7 ) ประเภทอัศวินข้ามาคนเดียว ข้านี่ฉลาดสุด คนอื่นบนโลกมนุษย์นี่โง่หมด ใครทำอะไรมาก็ไม่ถูกใจปรับแก้หมด ถามอะไรหน่อยก็มองหน้าเหมือนว่า อะไรแค่นี้ยังไม่รู้อีกหรือ.(. ให้ทำก็ทำมาเถอะ, อย่าถาม , อธิบายไปก็ไม่รู้หรอก ) จริงๆแล้วคนพวกนี้เก่งนะ แต่อึดอัด และร่วมงานลำบาก ไม่รู้ว่าวันนี้จะมาอารมณ์ไหน( ใครแหยมมาวิจารณ์งานของข้าล่ะก้อตายสถานเดียว ) บางทีก็น่าสงสาร
เพราะความกดดันของลูกค้าทำให้เขาต้องเป็นอย่างนี้ ใครอยากเก่งในอนาคตร่วมงานกับคนพวกนี้รับรองปีเดียวขึ้นแนวหน้าเลย ( ถ้าไม่บ้าเสียก่อน )
การทำงานคนเดียว ข้อดีคือ ได้งานตามที่ตัวเองตั้งใจไว้ คุมคุณภาพการทำงานได้ทุกขั้นตอน เพราะทำคนเดียวเหมาหมดทุกตำแหน่ง แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกันนะ..
......เคยมีคนเก่งไปสมัครงานทำงานโปรดัคชั่น บอกผมทำได้ดีทุกตำแหน่ง รับรองไม่มีใครทำได้เก่งเท่าผม เจ้าของบริษัทเปิดดูงานแล้วถึงกับตะลึง ยอมรับว่าพนักงานในบริษัทเก่งสู้เขาไม่ได้เลยสักคน สร้างความภูิใจให้กับคนเก่งคนนั้นมาก..แล้วเจ้าของบริษัทก็ถามคนเก่งต่อว่า " ..ถ้าผมจ้างคุณทำ คุณคิดว่าคุณจะทำงานให้ผมได้กี่วัน หรือ ...1 เดือน ...2เดือน,... 3 เดือน ผ่านมาได้ขณะนี้ผมว่าคุณก็เป็นผีดิบแล้วล่ะ ..แต่พนักงานบริษัทผมทำได้ ตลอด ถ้าคุณยังทำงานคนเดียวแบบนีิ้ อีก 10 ปี ผมมาเจอคุณ คุณก็ยังคงอยู่ตรงนี้ ( ทำงานคนเดียว )เพราะว่าคุณทำงานเพียงคนเดียว แต่ถ้าคุณทำงานเป็นทีม โอกาสโตมีมาก ( รวยมาก มีเงินมาก ) ....เป็นไงคับ 8 ข้อที่ผ่านไป มีใครสะดุ้งบ้างหรือยัง ถ้ามีบางข้อแสดงว่าคุณก็เป็นคนเก่งคนหนึ่ง แต่ยังไม่หมดคับ มีข้อสุดท้ายที่สุดๆๆกว่าทั้งหมดที่กล่าวมา9.
อย่านึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัทฯ เนื่องจากเจ้าของมีความรู้ไม่มากในเรื่องโปรดัคชั่น เมื่อมีงานเข้ามาก็จะเรียกเราไปพูดคุย ปรึกษา ถึงเรื่องงานบ่อยๆ
นานเข้าความรู้สึกจากลูกน้องเริ่มเปลี่ยนไปเป็นเจ้าของซะแล้ว หนักเข้าถึงกับยกเลิกงานที่ทางบริษัทรับมาเลยก็มี โดยอ้างเหตุผลต่างๆนาๆ งานเล็กไม่คุ้มเหนื่อย
..งานใหญ่อาจเสียชื่อถ้าทำพลาด พอเจ้าของบริษัทฯไม่ยอม เท่านั้นล่ะ ขู่จะตัดหางปล่อยวัด (ตัวเอง )
ว่าถ้าผมไม่อยู่บริษัทเจ๊งแน่เพราะไม่มีใครรู้งาน สุดๆไม๊กรณีนี้ มีจริงนะคับเยอะด้วย
ขอบอความลับอะไรอย่างหนึ่งว่า ถ้าเจ้านายเขาโง่เขาไม่มาเป็นเจ้าของบริษัทหรอก เขาต้องมีทางหนีทีไล่เขาไว้อยู่แล้ว กรณีคุณลาออกกระทันหัน ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ถามว่าบริษัทกระเทือนไหมตอบทันทีว่ากระเทือนแน่นอน แต่ไม่นาน เพราะบริษัทเขาเป็นองค์กร เขาไม่ยึดติด
ตัวบุคคลหรอกคับ องค์กรเขาอยู่ได้ด้วยระบบที่เขาวางไว้ดีอยู่แล้ว แม้คนจะออกไปอย่างไรบริษัทเขาก็อยู่ได้ หลายคนยอมทิ้งไพ่ใบสุดท้าย ( ลาออก )
เพื่อขู่เจ้าของบริษัทฯให้ยอมตามเงื่อนไขที่ตัวเองต้องการ บางบริษัทก็แก้เกมกลับโดยการปิดบริษัทเก่า แล้วเปิดบริษัทใหม่....เพื่อแก้เผ็ดพวกเก่งๆทั้งหลาย..
....บางครั้งชีวิตโปรดัคช่ันเหมือนถูกเล่นตลกตลอดเวลา โปรดัคชั่นดีมักจะได้เจ้านายไม่ดี และเจ้านายดีก็มักจะได้โปรดัคชั่นไม่ดี ..
.....ใครที่เป็นเจ้านายดีและได้โปรดัคชั่นดี ถือว่าโชคดีสุดๆแล้ว ก็พยายามรักษานำ้ใจซึ่งกันและกันไว้ หนักนิดเบาหน่อย อภัยได้ก็อย่าถือโกรธกันเลยนะ ..
ระวังนะคับ คนเก่งที่แสบ ทำไมทุกวันนี้ บริษัทยังคงจ้างอยู่ อาจเป็นเพราะเขายังหาคนแทนไม่ได้ เมื่อวันใดที่หาได้เมื่อไหร่ ผมว่าเขาคงไม่ทนเหมือนกันล่ะ.. ............ใครที่คิดว่ากำลังเข้าทำงานในบริษัทใหญ่ๆ.. ทุกวันนี้บริษัทโปรดัคชั่นต่างๆ ใช้วิธีการปกครองพนักงานมีอยู่ 2 แบบ คือ - ปกครองพนักงานโดยใช้ทางด้านลบคือใช้แรงกดดันในการทำงาน ยุยงให้แต่ละทีมเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน ไม่ให้ลงรอยกัน
เพื่อที่แต่ละกลุ่มจะได้คอยจับผิดซึ่งกันและกัน เมื่อพบความผิดและรายงานให้กับบริษัทฯทราบ บริษัทฯจะมอบหมายงานใหญ่ให้เป็นรางวัลตอบแทน
เรียกว่าย่อโลกอันเลวร้ายมาไว้ในบริษัทฯ ให้แต่ละคนฟาดฟันกัน แข่งขันกัน ผลงานดีมีคุณภาพก็จะตกมาอยู่ที่บริษัทฯ ใครทำงานบริษัทนี้ รับรองโหดแบบมีคุณภาพ
- ปกครองพนักงานโดยใช้ทางบวกไม่โหดเท่า มีอะไรผิดก็แนะนำกันไป แก้กันไป ช่วยเหลือกันไป เหมือนพี่ปกครองน้อง
หรือบางครั้งอาจมีรุนแรงเกินขอบเขตไปบ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงเหมือนแบบที่ 1 ....( ชอบแบบไหนเลือกเอาเองนะ )
......... ปัจจุบันมีคนเก่งเข้ามาในวงการเพิ่มมากขึ้น ด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยี และข่าวสาร ทำให้ใครๆก็สามารถผลิตหนังสั้นในบ้านได้แม้ไม่ได้เรียน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งดี
แต่คุณควรพัฒนาจิตใจที่ดีควบคู่ไปด้วย คำแนะนำ 9 ข้อ ที่ไม่อยากให้คุณทำ คือแนวทางที่จะนำชีวิตคุณให้อยู่ในวงการได้นาน ..แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายมันก็คือผลสรุปที่จะย้อนกลับมาหาคุณ เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องการคนร่วมงาน .คุณจะเลือกใคร ..
.ระหว่าง "คนเก่งแต่นิสัยไม่ดี ...กับ....คนนิสัยดีแต่ไม่เก่ง .."คุณเท่านั้นเป็นผู้ให้คำตอบ..[ แก้ไขล่าสุดโดย p0p-it เมื่อ 2011-10-24 12:39 ]