สมาชิก สถิติฟอรั่ม ธนาคาร
  • 9028เข้าชม
  • 10ตอบกลับ

..เรามีข้อคิด..ถ้าคิดจะทำหนังสั้น...

โพสต์
787
เงิน
5355
ความดี
14867
เครดิต
11447
จิตพิสัย
37005
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร

ช่วงนี้กำลังฮอต ไปไหนเจอแต่คนชวน "มาทำหนังสั้นกันเถอะ " เปิดเว็บ ดูทีวี อ่านนิตยสาร ก็เจอร่วมประกวดทำหนังสั้น ..เลยคิดได้ว่า มีประเด็นเขียนอีกแล้วเรา.. 
การทำหนังก็คือ การเล่าเรื่องให้คนรู้เรื่องและมีอารมณ์ร่วม ( เรื่องจริง ) และคล้อยตามไปกับเรา ( กรณีเรื่องแต่ง ) คนที่มีพรสวรรค์เล่าเรื่องเก่งจะได้เปรียบมาก 
หรือใครที่มีประสบการณ์โดยตรงคือ พบเจอเหตุการณ์นั้นจริง จะเล่าจนเหมือนว่าเราได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง อาจแต่งเติมหรือตกหล่นไปบ้างคนฟังก็ยังเชื่อ
บางครั้งอาจสั้นนิดเดียว แต่ก็ดึงอารมณ์เราได้ตลอด หัวใจสำคัญของการทำหนังสั้น( เล่าเรื่อง ) อยู่ที่ตรงนี้คือ เดินเรื่องให้เหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง ที่เกิดขึ้นได้จริงๆ...
...แม้จะโม้แต่งเติม ก็ต้องให้คนดูรู้สึกได้ว่ามันคือเรื่องจริง... 
....บอกก่อนว่า ในแง่วิชาการ(ทำหนังสั้น) มีพี่ๆเขียนเยอะในหนังสือ , เว็บเพื่อนบ้านก็มี ไปอ่านก่อนนะ แล้วค่อยมาอ่านของผมเสริม ( จริงๆผมก็ลอกเขามาแหละ )
....เรามีขั้นตอนเป็นข้อๆ ให้คุณคิดก่อนผลิตจริง...( เชื่อครึ่งเดียวก็ได้ถ้าคุณไม่ชอบ )
1.  -เนื้อเรื่องที่จะนำเสนอเป็นแนวไหน แนวอารมณ์ ( ดำเนินเรื่องช้า ) หรือ แนวตื่นเต้น ( ดำเนินเรื่องเร็ว ) หรือช้าสลับเร็ว ( ผสมทั้งสอง )
2. - อะไรเป็นประเด็นหลัก เป็นประเด็นรอง แยกให้ออก ประเด็นหลักควรมีเนื้อหาที่แน่น และเด่นชัด ( อาจใช้เวลามากกว่าประเด็นรอง )
       ระวังให้มากนะคับ เห็นหลายราย ทำไปทำมา ประเด็นหลักไปเป็นรอง ประเด็นรองทำให้หลักแกว่ง หรือเสียจุดยืน คือถ่ายไปเพิ่มไป ( มันส์จนฉุดไม่อยู่ )
      อย่าพยามยามเลือกหลายประเด็นเกินไป คนดูจะสับสน และนำ้หนักในเรื่องจะไม่มี เพราะเฉลี่ยเท่ากัน หรือที่เขาเรียกเหตุการณ์ข่มกันเอง และถ้าคุณไม่เก่งจริ
      ในการเชื่อมโยงหลายเหตุการณ์ หลายอารมณ์ ( ไอ้นั่นก็ดี ไอ้นี่ก็สำคัญ เรียกว่าเก็บทุกรายละเอียด ) สุดท้ายโครงเรื่องจะเละนะคับ ระวังๆๆๆมากๆๆๆๆ
3. - มองจากมุมไหน ในการเล่าเรื่อง หมายถึงเราจะเป็นผู้เล่า ( คือเจอประสบการณ์จริง ) หรือจะเล่าเป็นแค่ตัวแทนถ่ายทอด ( เล่าแทนเขา ) 
      การเล่าโดยเกิดจากเราเจอเอง จะเล่าได้ง่ายตามอารมณ์ความรู้สึกที่เราเจอและค่อยเรียงถ่ายทอดออกมาเป็นภาพเหตุการณ์ แต่ถ้าเราเล่าแทนเขา
     เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรื่องที่เรากำลังจะเล่าหรือนำเสนอ เป็นแบบที่เขากำลังคิด ( ต่อด้วยข้อนี้เลย )
4.  หาข้อมูลหรือที่เขาเรียก ทำการบ้าน หมายความว่า บางเหตุการณ์เราไม่มีประสบการณ์นั้นๆเลย เช่น ไปดูดนตรีคาราบาวแล้วต้องตีกัน ทำไมถึงต้องตีกัน
     อยากรู้ก็ไปสอบถามน้องเขาเลย ว่าคิดอะไรอยู่ ณ ตอนนั้น ทำทำไม อะไรเป็นเหตุจูงใจ เพื่อที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมานำเสนอบนพื้นฐานเหตุการณ์จริง 
    สำคัญในกรณีที่เราเป็นผู้เล่า ( แต่ไม่มีประสบการณ์จริง ) หลายเรื่องที่หลงประเด็นนี้ สมมติ เรานำเสนอคนบ้าที่กำลังฆ่าคน ถ้าเราเป็นคนเล่าแทนคนบ้า
    เราจะรู้สึกว่าการฆ่าคนนี่มันตื่นเต้น ต้องถ่ายหลายมุม ถ่ายหน้า ถ่ายมือจับมีดเห็นเลือดไหลพุ่ง หน้าคนเจ็บปวด มีดหล่น ( เพลงตามจังหวะ เสียงหัวใจเต้น)
   แต่พอไปถามคนบ้า ( มีประสบการร์จริง ) คนบ้าบอกไม่รู้สึกอะไรเลย อยากทำก็ทำ แค่นั้น เห็นหรือยังมุมมองของคนเล่ากับคนทำจริง คนละเรื่อง 
   ฉนั้นสำคัญจริงๆ ว่่าเหตุการณ์นั้นที่จะนำเสนอคุณเป็นคนเล่าเอง หรือจะเป็นเพียงตัวแทนแล้วเล่าผ่าน ไม่ใช่คนบ้าฆ่าคน เราตัวแทนคนเล่าเห็นตื่นเต้นก็เอาเหตุการณ์นี้ 
   แต่พอไปถึงเหตุการณ์อื่น คนบ้าดูสนุกดีก็ถ่ายทอดแทนคนบ้า ไม่งั้นเรื่องมันแกว่งไปมา คนดูจะงงและสับสน
     .. การเป็นผู้เล่าเอง หรือเล่าแทนจะมีเส้นบางๆอยู่ บางทีอาจเล่าผสมข้ามไปมาได้ ขึ้นอยู่กับประเด็นหลักและรองของเรื่อง ถ้าเป็นรองก็อย่าเน้นให้มาก
    ข้ามๆไปใช้ส่วนหลักแล้วกัน และการข้ามไปมาในเหตุการณ์เดียวกัน อยากให้มีตัวคอนตินิวเชื่อมเหตุการณ์ในขณะนั้นด้วยจะทำให้เรื่องน่าเชื่อถือขึ้น  เช่น 
    - เราเห็นคนบ้ากำลังฆ่าคน ( ตัวแทนคนเล่า )                             - อารมณ์ภาพ ตื่นเต้น  น่ากลัว
    - คนบ้ากำลังฆ่าคน ( ประสบการณ์จริง )                                    - อารมณ์ธรรมดา เห็นคนถูกฆ่าขอชีวิต คนบ้าหัวเราะ
    - มีเสียงตะโกน " เฮ้ย แกทำอะไรวะ "..(ตัวคอนตินิว )                  - ดึงเหตุการณ์กลับเข้าตัวแทนคนเล่า คนบ้ามองเห็นวิ่งหนี
    ...งงไม๊คับ ผมเขียนเองเริ่มงงเหมือนกัน อยากยกตัวอย่างงานของน้องที่ทำผ่านเว็บจริงๆ แต่ก็สงสารน้องเขาน่ะ กลับไปดูจะเห็นการสับสนในเหตุการณ์แบบนี้เยอะ
      ถ้าสำหรับคนที่ผ่านประสบการณ์มาแล้ว เขาก็มีวิธีการแก้ของเขา ( ทางใครทางมัน ดูงานเยอะๆๆ )
5. - สิ่งเล็กน้อยก็สำคัญอย่ามองข้าม แม้ตัวมันเองจะไม่สำคัญแต่ทำให้ประเด็นหลักนำ้หนักมากขึ้น เพราะหลายๆเล็กรวมกัน ทำให้ความน่าเชื่อถือของเรื่องลดน้อยลงได้เหมือนกัน 
      --  หนุ่มสาวเริ่มจีบกันใหม่ๆ  - ชายจะถือกระเป๋าสะพายให้ , ขึ้นรถเมล์ให้หญิงนั่งใน ชายนั่งนอกเพื่อกันไม่ให้คนมาโดนหญิง , นั่งกินข้าวต้องนั่งข้างเดียวกันเพื่อจับมือ
     -    หนุ่มสาวเป็นแฟนแล้ว      -  หญิงถือกระเป๋าเองแต่จะเดินจับมือเที่ยวห้าง , นั่งกินข้าวมุมในสุด นั่งตรงกันข้าม เพื่อจะบอกรักทางสายตา , 
    -     หนุ่มสาวแต่งงานแล้ว      -  หญิงถือกระเป๋าเองเดินคนเดียวในห้าง ชายนั่งกินกาแฟรอ , นั่งกินข้าวกลางร้าน เข้าออกสะดวก ต่างคนต่างกินไม่พูดคุย ฯลฯ
        อาการเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แม้จะเล็กน้อยแต่เมื่อรวมหลายๆอย่างมันจะทำให้ประเด็นหลักมีนำ้หนักมากขึ้น ใครที่ต้องการเป็นผู้กำกับ ต้องหมั่นสังเกตุเหตุการณ์รอบตัว 
       แล้วคิดเสมอว่า ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น เพราะอะไร หัดดู หัดสังเกตุ แล้ววันหนึ่งเมื่อคุณมาทำงาน เหตุการณ์ที่คุณเคยเห็นจะถูกถ่ายทอดออกมาได้เหมือนจริงเพราะ
      เราใช้หลักที่เกิดขึ้นบนเหตุการณ์จริง ..ถามเล่นๆ คุณไปเที่ยวทะเล เห็น ผู้ชายวัยกลางคนจูงมือสาวเดินเที่ยว สาวใช้ขาเตะนำ้ทะเลเล่น คุณคิดว่า 2 คนนี้เป็นอะไรกัน..
   คิดก่อนห้ามดูคำตอบ ( เฉลยความคิดส่วนตัวนะคับ ผมว่าชายกลางคนพาอีหนูมาเที่ยวทะเล เพราะถ้าพ่อลูกจะไม่เดินจับมือ อาจจับแต่ไม่จับนานสักพักก็ปล่อย , แต่ถ้า
   เป็นคนแต่งงานแล้วยิ่งไม่ใช่ เพราะลักษณะคนแต่งงานแล้วไปเที่ยวทะเลเขาจะนั่งนิ่งๆ ไม่ก็ดูวิว อ่านหนังสือ  ถ้าจะเดินเล่นก็จะเดินคุยกันเงียบๆ ไปเรื่อยเปื่อย ..ฯลฯ 
   ไม่ใช่ให้คู่สามีภรรยาแต่งงานนานแล้วอยากโรเมนติก ก็ให้เดินเตะนำ้ทะเลเล่นเหมือนที่เขาทำ ผมว่ามันแปลกๆอย่ายัดเยียดเลย  ให้ไปทำอย่างอื่นเถอะคับ  )
6.  การแสดงอารมณ์มากน้อยรู้ได้ไง ดูจากจอกล้อง อย่าดูจากการแสดงจริง เพราะบางครั้งการแสดงจริง อาจดูดีแต่พอดูจากกล้องอารมณ์อาจอ่อนลง
   แก้โดยให้แสดงเวอร์ขึ้น หรือ ดูจากแสดงจริงพอดี แต่พอดูจากกล้องเวอร์เกิน ฯลฯ 
7.  คำนวนเวลาที่ทั้งหมดที่จะนำเสนอ  ทุกคนมักจะไม่ให้ความสำคัญส่วนนี้  แต่ขอบอกเลยว่า โคตรสำคัญ ( ภาษาวัยรุ่นหน่อยนะ )
    ใครที่คิดว่าถ่ายไปเยอะๆก่อนแล้วค่อยมาตัดให้พอดีเวลาที่นำเสนอ บอกเลยว่าคิดผิดมากๆ  ไอ้ละครเกาหลีที่เราติดกันงอมแงม เป็นเพราะเขาควบคุมเวลาทั้งหมดว่า 
   จะเปิดตอนไหนและจบลงช่วงตอนไหน..เพื่อให้คนได้ติดตามลุ้นตอนต่อไป  ไม่ใช่ถึงเวลาแค่ไหนก็ตัดแค่นั้น ที่เหลือยกไปตอนต่อไป.. เราบอกกันตั้งแต่แรกแล้วว่า
   การทำหนังสั้นก็คือการเล่าเรื่อง สมมติให้คุณเล่าประวัตคุณ ภายใน 10 นาที กับภายใน 5 นาที จะเห็นเลยว่าการเล่าไปคนละเรื่องคนละทาง เพราะถ้าเรามีเวลาน้อย
   เราก็จะเอาส่วนสำคัญมาพูด แต่ถ้าเวลาเยอะ ก็จะเอ้อระเหยอะไรก็ได้..ถามต่อว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า เนื้อเรื่องทั้งหมดที่เรานำเสนอมาเป็นบทต้องใช้เวลาทั้งหมดกี่นาที 
   ตอบง่ายมาก เล่นเองเลย หมายถึงว่าให้คุณ ลองสมมติตามเหตุการณ์ตัวละคร ( เล่นคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ ) เช่น บทพ่อแม่ลูกคุยกันบนโต๊ะกินข้าว เราก็นั่งคุยกัน
   ในกลุ่มนั่นแหละ อาจสมมติมีเดินไปหยิบนำ้ ก็ลองเดินไปจริงๆ ไปแล้วกลับมาพูด เอาแค่ประมาณ ขาดเกินประมาณ 20 % พอไหว ไม่ใช่เกินไป 50 % ไม่ไหวแล้ว 
   กลับมาคิดใหม่เราเพิ่มประเด็นมากเกินไปหรือเปล่า ( การถ่ายมาเผื่อตัด โดยไม่คำนวณเวลาทำได้ไม๊ ทำได้คับไม่ผิดกติกา แต่จะไม่ดีเท่ากับเราคำนวณเวลาเอาไว้
   และปัญหาบางช่วงเหตุการณ์ ตัดสั้นไปตัวเชื่อมก็ไม่มี ทีนี้ล่ะปัญหาเกิด ...จะทำให้ความน่าเชื่อถือของเนื้อเรื่องลดลงไป ถ้าเป็นประเด็นหลัก แย่เลยนะคับ...)
8.-อย่าคำนึงถึงแต่เครื่องมือ พวกเลนส์แพงถ่ายหลังละลาย ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องสน ทำมันเท่าที่มี ถ้าโครงเรื่องดี คนแสดงเก่ง สิ่งบกพร่องเหล่านี้จะถูกกลบหายไปเอง 
    ( แต่ถ้ามีก็เจ๋งนะ มันช่วยได้เยอะเหมือนกันบางเหตุการณ์ )
9. -สำหรับน้องๆที่ทำงานส่งอาจารย์ อาจจ้างมืออาชีพมาช่วย ( จริงๆก็จ้างทั้งนั้นแหละ ) ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทำเอง แม้จะไม่ดีเลิศแต่เราได้ความรู้มากมาย มีโอกาส
     ไม่บ่อย ที่จะได้ทำอะไรด้วยตัวเองโดยมีคะแนนเป็นพลังกดดัน และสำหรับรุ่นพี่ๆที่ทำให้รุ่นน้องก็อย่าไปทำเองเสียหมด ให้น้องๆเขาทำเองบ้าง ขอเพียงแค่เป้น
     ที่ปรึกษาก็พอ ถ้าน้องไม่ถามก็อย่าไปยุ่ง ให้น้องทำเอง ถ้าเห็นผิดทนไม่ไหวจริงๆก็บอกขอถ่ายเพิ่มสำรองไว้ เผื่ออาจารย์ให้แก้จะได้ไม่ต้องมาถ่ายใหม่
     แต่อย่าไปบอกของน้องไม่เวิร์คเอาแบบที่พี่ทำให้ซิ รับรองเอ ( เเหมือนฆ่าเด็กทางอ้อมนะคับ เด็กฐานไม่แน่นและออกมาทำงานจริง เด็กจะหลงทางได้ง่าย )
10. ข้อสุดท้ายแล้ว อยากรู้ว่าหนังเราดีไม่ดี ให้พ่อแม่พี่น้องเราดูก่อน ( ใครที่ไม่สนับสนุนหรือเกลียดเราน่ะ ให้ดูก่อนเลย ) เป็นตัวทดสอบที่ดีมากๆ เพราะเราสามารถ
      เช็คอาการของคนดูได้ใกล้ชิดว่าเป็นไปตามที่เราต้องการหรือไม่ เช่น อารมณ์เศร้า , ตื่นเต้น  เมื่อดูเสร็จแล้วถามต่ออีกว่า ดูแล้วเขาเข้าใจอะไรในหนัง 
      ตรงกับสิ่งที่เราต้องการสื่อหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็ให้รีบแก้ไข อย่าคิดว่า เขาไม่มีความรู้ทางด้านวงการ ดูไปก็ไม่เข้าใจ อันนี้แหละสำคัญ คนไม่มีความรู้ต้องดูรู้เรื่อง
      ส่วนไอ้พวกมีความรู้น่ะ เขาดูยังไงก็รู้เรื่องอยู่แล้ว เพราะเขาตกผลึกทางด้านนี้แค่ฟังเสียงอย่างเดียวก็บอกได้แล้วคับ...
 .... แต่ไม่แนะนำให้เอาไปให้เพื่อนๆดู แล้วถามความเห็นว่า ดีหรือไม่  ( เพราะเพื่อนๆดูทีไร เห็นบอกดีทุกราย เขาสงสารและเห็นใจคุณ ที่สำคัญกลัวโดนคุณเตะ )
    ขอเพิ่มเติม... ตั้งแต่ 1 - 10 ยกเว้นสำหรับใครที่ต้องการทำหนังเฉพาะกลุ่มนะคับ ไม่นับรวม เพราะถือว่าเขานำเสนอในกลุ่มที่เขาดู เราดูไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องดู 
(ก็บอกแล้วว่าเราไม่ใช่กลุ่มของเขา เลยดูไม่รู้เรื่อง ) หรือจะเรียกหนังพิเศษ , หนังแนวอินดี้ แนวปรัชญา..หรืออะไรก็ตามที่เขาเรียกฯลฯ  
    ..ฝากไว้ สำหรับการนำเสนอเนื้อเรื่อง ( ที่ไม่มีประสบการณ์จริงแล้วเป็นตัวแทนคนเล่า ) ...อยากให้คิดถึงเหตุการณ์จริงเข้าไว้ ....และท่องในใจไม่ให้ลืม 
" ...โดยปกติจริงๆ..เขาทำกันแบบนี้หรือเปล่า..? 
 " ( ในขณะที่เรากำลังกำกับให้ผู้แสดงเล่น ) ถ้าเกิดขึ้นจริงแต่เป็น 1 ใน ล้าน ก็เขียนขึ้นต้นใหรือจบให้คนรู้เลยว่า 
จำลองจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มีหลักฐาน เขาจะได้เชื่อ ไม่ใช่เอาเหตุการณ์ที่น้อยคนจะเกิดแล้วมาทำเป็นเรื่องผสมเหตุการณ์แต่งเติมจะกลายเป็นเนื้อเรื่องไร้เหตุผล 
( ใช้ได้กรณีหนังตลก สนุกสนาน คนดูเขาเข้าใจ ) หลายคนถ่ายทอดเรื่องราวโดยดูจากเหตุการณ์อารมณ์ที่แรง จนลืมนึกถึงความเป็นจริง เช่น คนบ้าจะฆ่าตัวตาย 
เห็นวิวดาดฟ้าสวย  ถ่ายทอดอารมณ์ได้ เลยให้คนบ้าวิ่่งถือมีดไปมา เพื่อจะฆ่าตัวตาย  ถามว่าจะมีคนบ้าที่ไหนทำแบบนี้ ถ้าจะฆ่าตัวตายเขาก็ทำที่ห้องเลย
แม้มันอาจดูไม่แรงเหมือนบนดาดฟ้า ( แต่มันคือความจริง ) และถ้าคุณจัดแสงในห้องสวยๆ ถ่ายทอดอารมณ์ทางสายตาที่มอง ปล่อยนิ่งให้คนดูเป็นบ้าเอง..และ อย่าลืมมีเพลง
ช่วยอีกนะ ทำดีๆอาจได้อารมณ์กว่าบนดาดฟ้าอีก ,หลายครั้งที่คนถ่ายทอดมักจะเลือกจุดเด่นๆของแต่ละเหตุการณ์มารวมกันในเรื่องเดียว ( เหมือนยัดเยียด )
โดยลืมนึกไปว่า นี่เป็นเพียงเหตุการณ์เดียวของหนังทั้งเรื่อง (อยากให้คุณคิดถึงความเป็นจริง..ท่องไว้ ) ..ยังมีส่วนประกอบอื่นๆอีกมากมาย แม้บางเหตุการณ์ไม่แรง
แต่รวมหลายๆเหตุการณ์มันก็ช่วยส่งให้ทั้งเรื่องแรงได้ ..อย่างที่ผมแนะนำข้อแรกเลยว่า คุณอยากทำหนังอารมณ์ไหน ถ้าต้องการแรงก็เลือกแนวตื่นเต้นไปเลย
ไม่ใช่เลือกแนวอารมณ์แล้วก็เน้นตื่นเต้นทั้งเรื่อง มันไม่มีเหตุผลรองรับ คนดูดูไปก็หัวเราะไปเพราะเห็นคนบ้าเที่ยววิ่งไปวิ่งมาบนดาดฟ้าชั้น 4 ( จริงๆแล้วต้องขึ้นมาโดดตึก)
   ." เน้นยำ้อีกครั้งว่า ไม่ว่าจะถ่ายทอดเรื่องราวอย่างไร อารมณ์ไหน ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจริงๆ ( ตามที่คนส่วนมากเชื่อว่าเกิดแบบนี้จริง ) "
....ปัจจุบัน คนที่จะมาเขียนบทหรือเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศ บางสำนักข่าว ( ขึ้นอยู่กับแต่ละสำนัก ) ให้คุณต้องไปเรียน
เพิ่มอีก 1 วิชาก็คือ จิตวิทยาน่ะคับ นอกกจากวิชาพื้นฐานที่คุณมีอยู่ เพื่อคุณจะได้ไม่ถามคำถามโง่ๆ หรือถามอะไรที่คนอื่นเขารู้อยู่แล้ว โดยเขาจะถามไปอีกหัวข้อหนึ่งซึ่ง
ลึกๆแล้ว เขาจะรู้ว่าถ้าคุณตอบคำถามนั้นได้ ความหมายทางความคิดของคุณก็จะต้องตอบคำถามข้อนี้ว่าอะไร พูดง่ายๆก็คือไม่ถามตรง...หลอกถามแหละคับ
วงการภาพยนตร์เหมือนกัน บางค่ายเขาก็จะมีนักจิตวิทยาคอยดู ปรับบทให้ เพื่อให้องค์ประกอบทุกอย่างลงตัว ไปกันได้ ไม่ใช่ขัดกันไปมา ทำให้เนื้อเรื่องแกว่งได้..
...  ณ ตอนนี้ ใครที่มีเครื่องมืออยู่แล้ว อยากให้คุณลองทำหนังสั้นดู อาจจะได้เพชรมาประดับวงการอีก 1 เม็ดก็ได้ใครจะไปรู้ ตอนนี้วงการภาพยนตร์ก็ตื่นตัวมาก
สำหรับเด็กรุ่นใหม่ ที่รวมทีมกันแล้วนำงานไปเสนอ   ตามบริษัทยักษ์ใหญ่ อาจได้ทุนมาไม่มากก็น่าลอง ..ได้งานมาแต่ไม่มีที่ปรึกษาก็มาที่เว็บนี้เลย 
พี่ๆเขาพร้อมจะเป็นพี่ปรึกษาและให้คำแนะนำดีๆ เงินไม่มีไม่เป็นไร ขึ้นเครดิตขอบคุณ เว็บไทยดีฟิล์ม ตอนจบหน่อยก็ได้...
        ...เผื่อหนังดังจนเขาเอาไปฉายทั่วโลก เว็บไทยดีฟิล์มจะได้ดังข้ามโลก..ไปด้วยเหมือนกัลลล์ "...




[ แก้ไขล่าสุดโดย p0p-it เมื่อ 2011-07-01 11:16 ]
บันทึกคะแนนนี้โพสต์ล่าสุด: รวม 5 คะแนน ซ่อน
kaiooo ความดี +20 2012-08-18 ได้ความรู้และข้อคิด
lmedia ความดี +1 2011-08-22 ขอบคุณ ครับ
gotchastudio ความดี +1 2011-04-25 มีประโยชน์มากๆ ครับ
moomoo ความดี +1 2011-04-15 ขอบคุณครับ
maprang ความดี +1 2011-04-15 ได้ความรู้ค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ระดับ : สมาชิก I
โพสต์
2
เงิน
24
ความดี
70
เครดิต
11
จิตพิสัย
98
จังหวัด
ปัตตานี
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 10#  โพสต์เมื่อ: 2012-11-03
ขอบคุณมากๆน่ะครับ ช่วยเรื่องบทได้เยอะ
ระดับ : สมาชิก II
โพสต์
18
เงิน
1346
ความดี
286
เครดิต
287
จิตพิสัย
550
จังหวัด
ระยอง
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 9#  โพสต์เมื่อ: 2012-08-18
เป็นเว็บที่ให้ความรู้มากๆ ค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยกันมาแชร์ประสบการณ์
ระดับ : สมาชิก VI
โพสต์
451
เงิน
878
ความดี
10007
เครดิต
11895
จิตพิสัย
9646
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร

เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 8#  โพสต์เมื่อ: 2011-04-25
มีประโยชน์มากๆ ครับ
ระดับ : สมาชิก VI
โพสต์
326
เงิน
13821
ความดี
11801
เครดิต
11787
จิตพิสัย
12242
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 7#  โพสต์เมื่อ: 2011-04-25
ขอบคุณแนวคิดดีๆครับ
ระดับ : สมาชิก VI
โพสต์
394
เงิน
7818
ความดี
8913
เครดิต
9171
จิตพิสัย
9646
จังหวัด
นครนายก
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 6#  โพสต์เมื่อ: 2011-04-17
ิI love thaidfilm
ระดับ : สมาชิก V
โพสต์
101
เงิน
2280
ความดี
1862
เครดิต
1622
จิตพิสัย
1866
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 5#  โพสต์เมื่อ: 2011-04-17
ขอบคุณครับ
โพสต์
787
เงิน
5355
ความดี
14867
เครดิต
11447
จิตพิสัย
37005
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร

เฉพาะตอบกลับของผู้โพสต์ 4#  โพสต์เมื่อ: 2011-04-17
ก่อนตอบคุณ 8 mmfilm . ผมขอยกตัวอย่าง งานประกวดเพลงสยามกลการ สมัยก่อน( เอาแบบนอกวงการไกลๆตัวหน่อย )

รอบสุดท้าย 10 คน ให้ทุกคนเลือกเพลงมา 1 เพลงตามที่คุณถนัด แต่ต้องไม่ใช่เพลงที่คุณได้ร้องไปแล้วนะ จะเป็นเพลงไทย สากล ลูกทุ่ง

หรืออะไรก็ได้แล้วแต่ถนัด ปรากฏมีนักร้องคนหนึ่งเลือกเพลง ผู้ชนะสิบทิศ 9 คนที่เหลือแอบหัวเราะใหญ่ เพราะเพลงนี้เชยและเก่ามาก

ปรากฏผลตัดสินนักร้องคนนี้ได้รางวัลชนะเลิศคับ..( คณะกรรมการ 5 คนให้เต็ม 10 ทั้งหมด ...อย่าลืมนะคับในการตัดสินร้องเพลง

ประกวดถ้าเพียงคุณร้องผิดตัวโน๊ต 1 ตัว หรือผิดคีย์ เพียง 1 เสียงปรับแพ้ตกรอบเลย.. แสดงว่านักร้องคนนี้หาที่ตัดคะแนนไม่ได้ )

เพราะอะไรถึงชนะ..เพราะนักร้องคนนี้เลือกเพลงที่มีหลายอารมณ์ (มีหมด รักสมหวัง อกหัก โกรธ แค้น ทุกอารมณ์)และที่สำคัญถ่าย

ทอดนำ้เสียง อารมณ์ ที่สามารถเข้าถึงคนฟังได้ จนคนฟังคล้อยตามและมีอารมณ์ร่วมไปด้วยทุกอารมณ์ในบทเพลงเสมือนกับ

ตัวคนฟังคือบุเรงนองหรือผู้ชนะสิบทิศ เสียเองhttp://www.youtube.com/watch?v=vqkXTq6UWfQ[/youtube]









 ใครไม่เคยฟังลองเปิดดูเลยคับ..

วันที่ร้องประกวด คนฟังนำ้ตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว... ( สำหรับผมฟังทีไรก็ขนลุกทุกที ) ..

...ทำนองเดียวกัน ถ้าคุณเลือกเรื่องที่จะนำมาทำหนังสั้น คุณเลือกหลายอารมณ์ ถามตัวคุณเองก่อนว่าคุณมีความสามารถที่จะ

รวมทุกเหตุการณ์ ทุกอารมณ์ ทุกเรื่องราว ถ่ายทอดออกมาจนคนดูมีอารมณ์ร่วมและคล้อยตามเสมือนว่าเรื่องนั้นได้เกิดขึ้นจริง..

คุณทำเองได้หรือไม่ ..ถ้าไม่ก็หาคนมาช่วย ..ถามต่อคนที่่จะมาช่วยมีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน...ถ้าคุณทำได้ดีทุกเหตุการณ์

จนคณะกรรมการไม่สามารถตัดคะแนนส่วนใดได้เลย รับรองว่าคุณชนะแน่..แต่ถ้าคุณคิดว่าไม่มีความสามารถพอในการรวมทุก

เหตุการณ์ ทุกอารมณ์ได้ คุณก็เลือกมาเพียงอารมณ์เดียวหรือเพียง 1 เหตุการณ์ในขณะนั้นก็พอ ...

..." คนที่เลือกหลายอารมณ์แต่ถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดี เทียบกับคุณที่เลือกเพียงอารมณ์เดียว แต่ถ่ายทอดออกมาจนคนดูคล้อยตาม

....และเชื่อว่าเรื่องนั้นได้เกิดขึ้นจริง....คุณก็มีสิทธิ์ที่จะชนะได้เหมือนกัน  ..."

.


[ แก้ไขล่าสุดโดย p0p-it เมื่อ 2011-10-24 14:14 ]
ระดับ : สมาชิก IIII
โพสต์
87
เงิน
3233
ความดี
2528
เครดิต
2423
จิตพิสัย
2841
จังหวัด
เชียงราย
ขอบคุณครับผม
ขอเสริมอีกนิดสำหรับคนที่จะทำหนังสั้นประกวดนะครับ

หากจะประกวดโครงการไหน ขอรายชื่อคณะกรรมการตัดสินมาก่อนเลยคับ
แล้วดูประวัติของเค้า ว่าเค้าช่ำชองหรือน่าเชื่อถือในวงการนี้แค่ไหน
ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะตกใจกับผลการตัดสินที่ไม่เป็นไปอย่างที่คิด

อันนี้รุ่นพี่ที่เคยทำหนังประกวด(ตอนนี้ทำหนังใหญ่)ฝากมาครับผม
ผมก็พึ่งคิดได้ว่ามันก็จริงแฮะ อิอิ


โพสต์
644
เงิน
16847
ความดี
14761
เครดิต
14339
จิตพิสัย
20875
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร

เยี่ยมครับ
ด้วยความเคารพ
ระดับ : สมาชิก V
โพสต์
103
เงิน
2412
ความดี
1889
เครดิต
2226
จิตพิสัย
2932
จังหวัด
กรุงเทพมหานคร
ข้อคิดดีๆจริงๆครับ
รายละเอียดไฟล์แนบ
กล่องตอบกลับด่วน

คุณไม่มีสิทธิ์ใช้งานส่วนนี้, กรุณาเข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
กรุณาใช้ข้อความที่สุภาพ คุณสามารถบันทึกฉบับร่างได้