ประวัติ
บีโธเฟ่นเป็นอัจฉริยะทางด้านการประพันธ์ดนตรีแนวคลาสสิก ที่มีผลงานทางดนตรีมีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่และมีสีสันไม่น้อยไปกว่างานของโมสาร์ทเลย เขาถือกำเนิดเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 1770 ในครอบครัวที่ยากจน ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ตำบลไรน์ กรุงบอนน์ ประเทศเยอรมนี พ่อของเขาชื่อ โจฮันน์ ฟาน บีโธเฟน มีอาชีพเป็นนักร้องเสียงเทนเนอร์ประจำวงดนตรีของเจ้าเมือง แม่ชื่อ มาเรีย มักดาเลนา เป็นผู้หญิงที่เรียบร้อย อ่อนหวาน ใจดี มีความรักและเอาใจใส่ต่อลูกๆ ทุกคน บีโธเฟนเป็นลูกคนที่ 2 ในจำนวนทั้งหมด 7 คน ความยากจนของครอบครัวทำให้ชีวิตในวัยเด็กของเขาเป็นไปอย่างยากลำบาก ประกอบกับพ่อเป็นคนที่มีอารมณ์ร้าย เป็นคนขี้เหล้าเมาหยำเปใช้จ่ายเงินในการซื้อเหล้าหมด ไม่เอาใจใส่ดูแลต่อความทุกข์สุขของครอบครัวเท่าท่าควร
บีโธเฟนเป็นเด็กที่มีสารรูปขี้ริ้วขี้เหร่ เงียบขรึม และขี้อาย พ่อเริ่มสอนให้เล่นไวโอลินและเปียโนก่อนที่เขาจะมีอายุ 4 ขวบ แต่เขาเล่นได้ไม่ดีดังที่พ่อหวัง จึงทำให้พ่อโมโหและทำโทษเขาด้วยวิธีเอาไม้เคาะที่ตาตุ่มบ่อยๆ ปีที่บีโธเฟนเกิด "วูล์ฟกัง อมาดิอุส โมสาร์ท" นักดนตรีเอกของโลกมีชื่อเสียงกระฉ่อนทั่วยุโรปในฐานะนักดนตรีอัจฉริยะ โจฮันน์ ฟาน บีโธเฟน มีความใฝ่ฝันทะเยอทะยานที่จะให้ลูกชายของเขามีความสามารถและมีชื่อเสียงทางดนตรีโด่งดังเหมือนกับโมสาร์ท พ่อของเขาพยายามเคี่ยวเข็ญลูกชายฝึกฝนเล่นดนตรีอย่างเข้มงวดกวดขันที่สุด จับเขาหัดไวโอลินตั้งแต่ 5 ขวบ เคี่ยวเข็ญให้ท่องจำ และให้ถือไวโอลินตลอดเวลา แต่กระนั้นก็ดี อัจฉริยภาพทางดนตรีของบีโธเฟนก็ยังไม่ปรากฏออกมา นอกจากจะฝึกซ้อมไวโอลินและเปียโนแล้ว พ่อยังบังคับให้เขาเรียนออร์แกนและคลาเวียร์กับเพื่อนคู่หูของพ่อ
การเรียนก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เรียนไม่เป็นเวล่ำเวลา เพราะเมื่อพ่อและเพื่อนของกลับมาจากร้องเพลงก็จะมาปลุกให้เขาลุกขึ้นมาท่องโน้ตและเล่นคลาเวียร์ให้ฟัง แม้ว่าเขาจะง่วงแสนง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้น พ่อก็จะฉุดกระชากลากมาให้เล่นให้ฟังจนได้
ความพยายามอยู่ทีไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น ในที่สุดการเขี่ยวเข็ญของพ่อก็เป็นผลสำเร็จ บีโธเฟนเริ่มมีความสนใจและชื่นชอบการเล่นดนตรี อัจฉริยภาพทางด้านดนตรีของเขาเริ่มค่อย ๆ ฉายแววออกมา เขาเต็มใจในการเล่นดนตรีและเริ่มฝึกฝนไวโอลินและออร์แกนอย่างจริงจัง จนมีความชำนาญพอที่จะออกโรงได้
เมื่อเขามีอายุ 8 ขวบได้แสดงคอนเสิร์ตต่อหน้าประชาชนเป็นครั้งแรก ปรากฏว่าได้รับการปรบมือจากผู้ฟังอย่างเกรียวกราวและชื่นชม ทำให้พ่อของเขามีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเขามีอายุได้ 11 ขวบ บิดาก็ให้เขาไปเป็นพนักงานเปียโนชั้นรอง ต่อมาอีก 2 ? 3 เดือน ก็ได้เป็นผู้เคาะจังหวะดนตรีวงอุปรากร ประจำโรงละครอีเลกเตอร์ เขามีแววที่จะเป็นนักดนตรีที่ดีได้ ตลอดระยะเวลาที่เขาคลุกคลีอยู่ในงานชิ้นนี้ เขาก็มีความก้าวหน้าในทางที่ดีอยู่เสมอ จากความสามารถของเขานี่เอง พ่อจึงได้ส่งเขาเข้าโรงเรียนและให้ไปเรียนดนตรีอย่างจริงจังกับครูดนตรีที่มีชื่อเสียง เขาได้เอาใจใส่ฝึกฝนในการดนตรีอย่างจริงจัง เรียนอยู่ได้ 2 ? 3 ปี ก็สามารถเล่นเพลงยากๆ ของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงได้หลายเพลง เช่น Prelude และ Fugue ของบาคได้ทั้ง 48 เพลง ซึ่งนับว่าเก่งมากสำหรับเด็กอายุเพียง 11 ขวบ
จะว่าไปแล้วช่วงชีวิตในวัยเด็กของบีโธเฟนนั้นถูกเลี้ยงดูจากคุณปู่ที่เป็นนักดนตรี สิ่งนี้เองที่ทำให้บีโธเฟนมีความสนใจทางด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก แต่ก็น่าเสียดายที่ปู่ของเขาเสียชีวิตลงในตอนที่บีโธเฟนมีอายุได้เพียง 10 ขวบเท่านั้นเอง หลังจากนั้นในปี ค.ศ.1786 บีโธเฟนเดินทางไปเวียนนาไปเรียนดนตรีกับโมสาร์ทนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น ภายหลังจากที่โมสาร์ทได้ยินเสียงดนตรีที่บีโธเฟนบรรเลงออกมานั้น เขาถึงกับกล่าวออกมาว่า ?จงคอยดูเด็กน้อยคนนี้ให้ดี สักวันหนึ่งเพลงของเขาจะดังก้องไปทั่วโลก? บีโธเฟนฝึกดนตรีอย่างหนักทุกวันและเริ่มแต่งเพลง และไม่นานนักหลังจากที่เขามาถึงเวียนนา แม่ของเขาก็เสียชีวิตลงด้วยโรควัณโรค ในขณะที่แม่ตายนั้นเขามีอายุเพียง 17 ปี
เขาต้องรับภาระดูแลครอบครัวแทนแม่ เขาต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาช่วยเหลือเจือจุนครอบครัวด้วยการสมัครเข้าเล่นดนตรีในสำนักของเจ้าเมืองบ้าง รับสอนเด็กๆ ที่ชอบทางดนตรี เมื่อเขาอายุ 22 ปี เขาได้ย้ายไปอยู่ที่เวียนนา และเข้าเรียนดนตรีกับไฮเดิน ในตอนแรกเขามีความนิยมชมชอบในตัวครูมาก แต่ไม่นานนักก็เกิดมีความคิดเห็นขัดแย้งกับครูของเขา
ไฮเดินรู้สึกไม่พอใจกับลูกศิษย์คนนี้นัก เพราะเป็นคนแข็งกระด้าง ท่าทางเงอะงะ ตลอดจนมีความคิดเห็นนอกแบบนอกแผนเชื่อมั่นในตนเองเกินไป ไม่เอาใจใส่ในคำสอนของครูในเรื่องกฎความกลมกลืนของเสียง ทางฝ่ายบีโธเฟนก็เห็นว่าไฮเดินจู้จี้และแก่ทฤษฎีเกินไป ชอบดำเนินตามรอยแบบแผนเก่าๆ และที่สำคัญคือไฮเดินไม่ชอบเพลงทริโอของเขา จึงเกิดขัดใจกัน ในที่สุดเขาจึงออกไปเรียนกับคนอื่น
ณ นครเวียนนาบีโธเฟนก็ได้ตระเวนเล่นดนตรีไปในที่ต่างๆ จนชื่อเสียงทางเปียโนของเขาเป็นที่รู้จักกันดีทั่วเวียนนา ได้รับความนิยมมากการเล่นของเขาเต็มไปด้วยลีลาและความรู้สึกที่ระบายออกมาอย่างรุนแรงและงดงาม เขามีลูกศิษย์ตลอดจนชนชั้นสูงมาเรียนกับเขามากขึ้น พวกชนชั้นสูงของเวียนนาไม่น้อยที่นิยมเพลงและซื้อบทเพลงของเขาไปเล่นตามวัง จากความสามารถทางดนตรีของเขา ทำให้เจ้าชายและเจ้าหญิงลิคนอฟสกี้ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งในหมู่ชนชั้นสูงนิยมในตัวเขา ได้เชื้อเชิญให้เขาไปพำนักอยู่ในวังและรับเป็นผู้อุปถัมภ์ในทางการเงินและอื่นๆ แก่เขา
ขณะที่เขาพักอยู่ในวังเขามีความสะดวกสบายและมีความสุขพอควร ถึงแม้ว่าหน้าตาของเขาจะขี้ริ้วขี้เหร่ มีกิริยาท่าทางซุ่มซ่ามเป็นบ้านนอก แต่งกายปอนๆ รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา และผิดนัดบ่อยๆ มีอิสระเต็มที่ อยากเล่นอะไร ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นโดยไม่ต้องเกรงใจใคร บางครั้งก็แสดงกิริยาหยาบคาย หุนหันเอาแต่ใจตัว ขณะที่เขากำลังเล่นเปียโนให้ฟัง ถ้ามีใครพูดคุยและหัวเราะคิกคัก เขาจะโกรธมากและเลิกเล่น แล้วเดินหนีไปเฉยๆ แต่ก็ไม่มีใครดูหมิ่นดูแคลนหรือแสดงอากัปกิริยารังเกียจเขา ทุกคนพากันมองข้ามสิ่งเหล่านี้โดยไม่เอาใจใส่ เพราะนิยมในความเป็นอัจฉริยะทางดนตรีของเขา
ตั้งแต่ ค.ศ. 1800 เป็นต้นมา บีโธเฟนก็เปลี่ยนไปเอาดีและก้าวหน้าในทางแต่งเพลง เริ่มต้นด้วยเพลง Kreutzer Sonata สำหรับไวโอลิน The Moonlight และ Pathetic Sonata และเพลงคอนเชอร์โตอีก 3 เพลงสำหรับเปียโน นับเป็น 6 เพลงแรกที่ใช้เล่นกับเครื่องดนตรีสำหรับเล่น 4 คน และเริ่มแต่งเพลงซิมโฟนี จากการแต่งซิมโฟนีอันดับ 1 และ 2 ทำให้เขาได้พบแนวใหม่สำหรับที่จะแต่งเพลงอันดับต่อๆ ไป โดยเห็นช่องทางที่จะใส่อารมณ์และความรู้สึกลงไปได้อย่างเต็มที่ เพลงที่บีโธเฟนแต่งเป็นเพลงที่แสดงออกมาอย่างเสรี แหวกแนว
ในระยะแรกที่เพลงของเขาออกสู่ประชาชน ทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา เช่นว่า ?นักดนตรีที่นอกแบบแผนเป็นอันตรายต่อศิลปะทางดนตรี? แต่เขาก็ไม่แยแสว่าใครจะว่าอย่างไร และในตอนที่เขามีอายุได้ 31 ปี หูของเขาก็เริ่มมีอาการผิดปกติ ริ่มมีอาการปวดและอื้อจนขึ้น เจ็บปวดรวดร้าวทำให้เกิดความทนทุกข์ทรมานใจเขาเป็นอย่างยิ่ง หมอได้แนะนำให้เขาไปพักผ่อนตามหมู่บ้านแถบชานเมือง และในที่สุดเขาก็ไม่สามารถได้ยินเสียงใดๆอีกเลย
การคิดต่างเปนเรื่องดีนะ ทำให้เราสนใจไปค้นเพิ่ม ในบางส่วนก็เพิ่งรู้เหมือนกัน
เซิจจาก google
สนใจติดตามอ่านต่อได้ที่ >>
http://www.tutorgohome.com/forum/index.php?topic=360.0