เอาวิธีดูแลรักษาแบตฯกล้องดิจิตอลมาฝากครับ...เห็นราคามันแพงมากมาย
วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่กล้อง ให้ใช้ได้นานถึง ห้าปี ตอนที่ 1 / 3
ความจริงผมตั้งใจจะเขียนบทความนี้มานานแล้วครับ แต่ก็รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อน ซึ่งก็คือหลังช่วงเทศกาลวันหยุดยาวที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี่เอง เพราะผมจะพูดถึงวิธีการดูแลเก็บรักษาแบตเตอรี่ให้มันอยู่ทนใช้ได้นานๆ หลายๆท่านไปเที่ยวช่วงปีใหม่กลับมาแล้วเพิ่งจะเก็บกล้องเข้าตู้ไป เราลองมาดูกันว่า คุณเก็บอย่างถูกวิธีหรือเปล่า บทความนี้จะยาวหน่อยนะครับจึงต้องแบ่งออกเป็นสามตอน แต่ถ้าคุณติดตามอ่านจนครบแล้วนำไปปฏิบัติตามอย่างจริงจังแล้วละก็ รับรองได้เลยว่าแบตเตอรี่กล้องของคุณจะใช้ได้นานห้าปีขึ้นไปอย่างสบายๆครับ ก่อนอื่นขอเน้นให้ชัดเจนก่อนนะครับ บทความนี้เป็นคำแนะนำในการเก็บรักษาแบตเตอรี่ชนิด ลิเธี่ยมไออ้อนเท่านั้น หากกล้องของคุณใช้ถ่านชาร์จแบบ NiMh ละก็ต้องขอบอกว่าการดูแลรักษาจะแตกต่างออกไปจากนี้ ขอให้ติดตามในฉบับต่อๆไปนะครับ เริ่มกันเลยดีกว่า จากการศึกษาค้นคว้าเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไออ้อนที่ใช้ในกล้อง ทำให้เราพบว่า สิ่งที่มีผลกระทบกับอายุของแบตเตอรี่กล้องมากที่สุดคือการเก็บรักษา ความจริงคือคนส่วนมากไม่ได้ใช้กล้องทุกวัน ตามสถิติแล้วคนทั่วไปจะใช้กล้องเพียงปีละไม่กี่ครั้ง อย่างมากก็ไม่เกินสิบครั้งในหนึ่งปี ใช้งานนี่คือใช้จริงๆนะครับ ไม่นับการเอากล้องออกมากดเล่นนิดหน่อยๆแล้วก็เก็บ แบตเตอรี่จึงอยู่ในสภาพที่ถูกเก็บไว้เฉยๆ มากกว่าใช้งาน ซึ่งแตกต่างจากแบตเตอรี่ในมือถือที่ถูกใช้งานทุกวัน หลายๆคนเข้าใจผิดว่าแบตเตอรี่เก็บไว้เฉยๆไม่น่าเสื่อม อันนี้ผิดครับ แบตลิเธี่ยมไออ้อน แม้จะไม่ได้ใช้งานเลยเก็บอย่างเดียวก็เสื่อมลงได้ครับ และการเก็บที่ไม่ถูกวิธี จะทำให้อัตราการเสื่อมเร็วกว่าการเก็บอย่างถูกวิธีหลายสิบเท่า! สิ่งที่มีผลกระทบกับอายุแบตเตอรี่ลิเธี่ยม ไออ้อนในการเก็บรักษามากที่สุด คือ 1) สภาพไฟในการเก็บ 2) อุณหภูมิที่เก็บ ข้อแรก: สภาพไฟในการเก็บ ทฤษฎีกล่าวไว้ว่า หากจะเก็บลิเธี่ยมไออ้อนให้มีอายุนาน สภาพไฟที่เหมาะสมที่สุด ให้มีไฟอยู่ที่ 40% หรือหากวัดไฟที่ขั้วเซลล์ ให้ได้ประมาณ 3.75-3.80 โวลต์ ถือว่าเป็นสภาพที่เหมาะสม ไม่ควรเก็บในสภาพไฟเต็ม และ ห้าม เก็บในสภาพไฟหมด (โปรดสังเกตว่าผมใช้คำว่า ไม่ควร และ ห้าม) การที่เก็บแบตเตอรี่ในสภาพไฟเต็ม เคมีภายในจะ อยู่ในสภาพ active มาก แบตเตอรี่จะเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร แต่เก็บในสภาพไฟหมดก็ยิ่งแย่กว่า เพราะเก็บไว้นานๆ แบตเตอรี่จะตาย ชาร์จไฟไม่เข้าอีกเลย โยนทิ้งซื้อใหม่ได้เลยครับ ข้อหลังนี้ผมทราบว่าคนใช้กล้องส่วนใหญ่ก็ชอบทำกันแบบนี้เป๊ะเลยครับ คือไปเที่ยวถ่ายรูปกันจนแบตหมด กลับบ้านมาก็โยนกล้องเข้าตู้ไป อีกหลายเดือนต่อมาจะเอากล้องมาใช้ ปรากฎว่า แบตเตอรี่ชาร์จไม่เข้าซะแล้ว นี่แหละครับ แบตเตอรี่ตาย เพราะเก็บในสภาพไฟหมดเป็นเวลานานเกินไป พอดีหมดโควตาสำหรับฉบับนี้แล้ว ติดตามตอนต่อไปสัปดาห์หน้านะครับ หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับแบตเตอรี่ในอุปกรณ์ทุกชนิด เชิญสอบถามเข้ามายัง DR. BATTERY ได้ ที่ webboard ของ
www.oskabatt.com วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่กล้อง ให้ใช้ได้นานถึง ห้าปี ตอนที่ 2 / 3
สัปดาห์ที่แล้วผมพูดถึงการดูแลรักษาแบตเตอรี่กล้องแบบลิเธี่ยมไออ้อนยังไม่จบ เรามาต่อกันเลยครับ ในเมื่อสภาพไฟในการเก็บมีผล แบตเต็มก็ทำให้เสื่อมเร็ว แบตหมดก็ทำให้มันเสียไปเลย แนะนำว่า ให้เดินทางสายกลางสิครับ และตามทฤษฎีก็ระบุไว้ว่า สภาพไฟที่เหมาะสมในการเก็บคือให้มีไฟราวๆ 40% ถ้าทำตามทฤษฎีเป๊ะๆเลย คุณต้องมีมิเตอร์วัดไฟ จิ้มที่ขั้วบวก(+)ลบ(-) ของแบตเตอรี่ หากเป็นแบตที่ระบุคุณสมบัติบนฉลากว่า 3.6 หรือ 3.7V ให้วัดไฟที่ขั้วได้ประมาณ 3.75-3.80V ถือว่ามีไฟ 40% เก็บได้เลย แต่หากฉลากระบุว่าเป็นแบตเตอรี่ 7.2 หรือ 7.4V ก็ให้วัดไฟออกมาได้ประมาณ 7.5-7.6V เท่ากับ 40% ก็เป็นอันใช้ได้เช่นเดียวกัน หากฟังดูยุ่งยากสำหรับคนทั่วไป อะไรกันนักหนาแค่จะเก็บแบตต้องมาทำให้ไฟเหลือเท่านี้ต้องมีมิเตอร์วัดไฟอีก ผมขอแนะนำว่า เอาง่ายๆสะดวกเราก็พอครับ ให้กะเอา เราใช้กล้องอยู่เราจะรู้ดีว่าตอนนี้ไฟในแบตเหลือประมาณเท่าไหร่ ที่จอกล้องมันจะมีมาตรวัดระดับไฟในแบตแสดงเป็นแบบปล้องๆอยู่แล้ว กะเอาว่าให้ไฟมีประมาณครึ่งหนึ่งก็ถือว่าใกล้เคียง 40% แล้ว ก็เก็บได้เลย จากการค้นคว้าทดลองพบว่า หากคุณเก็บแบตเตอรี่ในสภาพไฟ 40% ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม แบตจะเสื่อมไปเพียง 4% แต่หากเก็บในสภาพไฟเต็ม 100% เป็นเวลาหนึ่งปี ที่ 25 องศาเท่ากัน แบตจะเสื่อมไปถึง 20% ต่างกันถึงห้าเท่าตัว! เชื่อหรือยังครับ ว่าสภาพไฟในการเก็บมีผลอย่างมากต่ออายุแบตเตอรี่ ยังมีอีกข้อที่มีผลกับอายุแบต นั่นคือ ข้อสอง: อุณหภูมิในการเก็บ ตามทฤษฎีอีกเช่นกัน แบตลิเธี่ยมไออ้อนไม่ชอบความร้อน ในสภาพแวดล้อมที่ยิ่งร้อน แบตเตอรี่จะยิ่งเสื่อมไวขึ้น ลองมาดูตัวเลขกันนะครับ อุณหภูมิที่เก็บ ระดับการประจุ 40% ระดับการประจุ 100% 0 °C เสื่อม 2% ต่อปี เสื่อม 6% ต่อปี 25 °C เสื่อม 4% ต่อปี เสื่อม 20% ต่อปี 40 °C เสื่อม 15% ต่อปี เสื่อม 35% ต่อปี 60 °C เสื่อม 25% ต่อปี เสื่อม 40% ในสามเดือน *อ้างอิง
www.batteryuniversity.com ตารางนี้ทำให้เราเห็นภาพอย่างชัดเจนว่า แม้อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งสำหรับบ้านเราไม่ได้ถือว่าร้อนเลย แต่แบตเตอรี่ก็เสื่อมเร็วขึ้นแล้ว แต่หากเก็บที่ประมาณ 40 องศา อัตราการเสื่อมจะเร็วขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว และที่แย่ที่สุดคือที่ 60 องศาซึ่งถือว่าร้อนมาก แบตเตอรี่จะเสื่อมถึง 40% ภายในเวลาแค่สามเดือนเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ควรเก็บแบตเตอรี่ในที่ร้อนมากเช่น ในรถที่จอดตากแดดเป็นอันขาด จากในตาราง จะเห็นว่าที่อุณหภูมิ 0 องศา แบตเตอรี่จะเสื่อมช้าที่สุด หากบวกกับการเก็บในสภาพไฟที่เหมาะสมที่ 40% แล้วละก็ แบตเตอรี่จะเสื่อมเพียงปีละ 2% เท่านั้น ถ้าเก็บอย่างนี้ได้จริง ห้าปีแบตก็เสื่อมไปเพียง 10% ยังใช้ได้อีกตั้ง 90% ถือว่าแบตยังใช้งานได้เกือบจะเหมือนก้อนใหม่เลย เอ้า ให้สิบปีเลยก็ได้ แบตเสื่อมไป 20% ก็ยังถือว่ายังอยู่อีก 80% คุณเคยคิดว่า แบตที่คุณใช้อยู่ จะใช้ได้ถึงสิบปีไหมครับ? สิบปี กล้องคุณจะอยู่นานถึงขนาดนั้นหรือเปล่ายังไม่รู้เลย หมดหน้ากระดาษอีกแล้วครับท่าน ติดตามตอนสุดท้ายที่ผมจะสรุปวิธีการเก็บแบบง่ายๆและถูกหลักในสัปดาห์หน้านะครับ หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับแบตเตอรี่ในอุปกรณ์ทุกชนิด เชิญสอบถามเข้ามายัง DR. BATTERY ได้ ที่ webboard ของ
www.oskabatt.com วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่กล้อง ให้ใช้ได้นานถึง ห้าปี ตอนที่ 3 / 3
ในตอนที่ 1 และ 2 ผมพูดถึงสิ่งที่ทำร้ายอายุแบตเตอรี่กล้องมากที่สุดสองประการ คือ สภาพไฟในการเก็บ และ อุณหภูมิในการเก็บ พร้อมกับแนะนำว่า การเก็บแบตเตอรี่ที่ถูกต้อง ควรเก็บในอุณหภูมิ 0 องศา ในสภาพไฟ 40% จะทำให้แบตอายุยืนที่สุด ทฤษฎีเราได้ทราบกันไปหมดแล้ว ในสัปดาห์นี้ ผมจะมาแนะนำวิธีง่ายๆที่เราทุกคนสามารถปฏิบัติเพื่อเก็บแบตอย่างถูกวิธีกันครับ ในบ้านของเรามีสถานที่ๆอุณหภูมิเย็นใกล้เคียง 0 องศาอยู่แล้ว ก็คือตู้เย็นนั่นเอง คุณสามารถเก็บแบตไว้ในตู้เย็นได้ แต่ต้องเป็นช่องข้างล่าง ไม่ใช่ช่องแช่แข็งนะครับ ในช่องแช่แข็ง อุณหภูมิจะติดลบ เย็นเกินไปเดี๋ยวแบตเตอรี่จะบวมเหมือนกระป๋องเบียร์ที่คุณพ่อบ้านนำไปแช่ไว้แล้วลืม พอเอาออกมา มันก็บวมฉึ่งเลย ตู้เย็น (ข้างล่าง) ทั่วไปอุณหภูมิจะอยู่ราวๆ 2-5 องศา แม้จะไม่ใช่ 0 องศาแต่ก็นับว่าเย็นเพียงพอครับ แต่อย่าเพิ่งโยนแบตเข้าไปในตู้เย็นตอนนี้เลยนะครับ จะเก็บก็ต้องมีขั้นตอนนิดหน่อย 1) ทำให้แบตเตอรี่มีไฟที่ระดับ 40% หรือกะเอาให้มีไฟประมาณครึ่งหนึ่ง 2) หาถุงพลาสติคมาสองใบ ถุงร้อน ถุงเย็น ถุงก๊อบแก๊บอะไรก็ได้ครับ ขอให้มันไม่รั่วก็พอ 3) หาสารดูดความชื้น ถ้าใครมีซิลิก้าเจล ก็ใช้ได้ ถ้ายังไม่มี ก็ไม่ต้องยุ่งยากอะไรมากครับ หาซื้อขนมพวก โดโซะ ชินมัย หรือ สาหร่ายอบกรอบที่เด็กๆชอบทานกัน ในซองขนมพวกนี้จะมีซองดูดความชื้นอยู่ นั่นแหละ เอามาใช้ได้เลยครับ 4) เอาแบตเตอรี่ใส่ลงไปในถุงพร้อมสารดูดความชื้น รีดอากาศออกให้ถุงแบนๆที่สุด มัดด้วยหนังยาง แล้วซ้อนถุงชั้นที่สอง มัดหนังยางเช่นกันครับ 5) นำไปวางในตู้เย็น เห็นไหมครับว่าไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย การที่ผมให้ใส่ถุงแล้วใส่ซองกันชื้นไว้ด้วย เพื่อตอนที่นำออกมาไงครับ หากคุณนำแบตเตอรี่ไปวางในตู้เย็นเฉยๆ ตอนเอาออกมา ไอน้ำจะเกาะแบตเตอรี่ใช่ไหมครับ ซึ่งมันอาจจะทำให้เกิดสนิมหรืออาจทำให้แผงวงจรภายในแบตมีปัญหาได้ ผมถึงให้ใส่ถุงพร้อมสารดูดความชื้นเอาไว้ เมื่อนำออกมาใช้งาน ก็รอสัก 20 นาทีให้หายเย็นก่อน ค่อยนำออกมาจากถุง แล้วจึงนำไปชาร์จ ใช้งานตามปกติได้เลย อ้อ แถมคำแนะนำอีกนิดว่า ควรนำแบตเตอรี่มาใช้งานบ้างสักหนึ่งครั้งต่อสามถึงหกเดือน แล้วจึงเก็บใหม่ด้วยกระบวนการเดียวกัน ด้วยวิธีเก็บแบบง่ายๆเพียงเท่านี้เองครับ แบตเตอรี่กล้องชนิด ลิเธี่ยมไออ้อน ของคุณก็จะอายุยืน อยู่ยงคงกระพันไปได้อีกนานอีกห้าปี หรือ สิบปี ได้อย่างสบายๆแน่นอนครับ หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับแบตเตอรี่ในอุปกรณ์ทุกชนิด เชิญสอบถามเข้ามายัง DR. BATTERY ได้ ที่ webboard ของ
www.oskabatt.com