มีน้องเมนท์มาว่า ..
พี่คับ พูดแต่น้องใหม่จะเข้าวงการ และสำหรับคนที่อยู่วงการมานานแล้วอยากก้าวหน้าขึ้น มีแนวทางฝึกปฏิบัติ....อย่างไรบ้าง ?..เออนะ ลืมเสียสนิท ไม่ใช่อะไรหรอก น้องใหม่เขียนง่ายเขียนอะไรเขาก็เชื่อ เพราะเขาไม่รู้ แต่คนที่อยู่วงการมานาน กลัวว่าพูดไปเดี๋ยวจะกลายเป็น
สอนหนังสือให้สังฆราช แต่เอาเถอะ
...เมื่ออยากรู้ ...เราก็อยากบอก ( ความลับ ) ...ให้คุณได้ฝึกฝนเพื่อก้าวหน้าขึ้นในอาชีพที่คุณทำอยู่....
ตอนแรกน้องเขาอยากให้เม้นท์ส่วนตัว เลยคิดว่าคงมีน้องเก่าหลายคนที่มีความลับข้อนี้ในใจ แต่ไม่กล้าพูด ( ผมพูดเอง ) ก็เลยเขียนให้อ่านพร้อมกัน...
.
..สำหรับน้องใหม่ที่อยากฝึกก็ทำได้เหมือนกัน ( ไม่ผิดกติกา ) ดีเสียอีกเก่งหลายอย่าง พอเข้าวงการก็พรวดขึ้นสู่แนวหน้าได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาฝึก...เพราะแอบฝึกอยู่ในสำนักตัวเอง ....( แต่บทเรียนเก่าที่ให้ไปควรฝึกให้แน่นด้วยนะ )..1. เริ่มต้นหาตัวเองให้เจอก่อน ว่าตัวคุณ มีคุณสมบัติลักษณะเป็นคนอย่างไร ( ลักษณะทางกายภาพ ) ..หลายคนที่ก้าวเข้าสู่วงการแบบฟลุ๊คๆ หรือแบบงงๆ คิดว่าฝันไป เช่น
พนักงานคนเก่าลาออก หรือ...พอดีมีงานด่วนเข้ามาหาคนทำไม่ได้ ...ลูกค้าติดใจผลงานให้งานเพิ่ม ฯลฯ ..เหล่านี้คือสิ่งที่เกิดแบบไม่คาดฝัน เขาเรียกว่า ดวงพาไป
ใครที่มีพื้นฐานดวงตรงกับงานที่ได้รับมอบหมายให้มาทำ ก็ถือว่าโชคดีมากๆ ที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ รับรองว่า อนาคตเป็นเศรษฐีแน่นอน ...เช่น...
-
ประเภท 1 ...
เป็นคนขี้เบื่อ ชอบพบปะผู้คน ชอบสิ่งท้าทาย ก็ควรไปทำงานทางด้าน.... ช่างภาพ ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ ผู้ช่วย ฯลฯ
-
ประเภท 2 ....
.เป็นคนเก็บกด ไม่ชอบเจอคน ก็ไปนู่นเลย ....พนักงานตัดต่อ ทำกราฟฟิค เขียนบท ฯลฯ
....เขาเรียกว่า พื้นฐานดวงเป็นอย่างไร ได้งานที่ส่งเสริมดวงด้วยแล้ว ยิ่งสนับสุนนเกื้อหนุนให้ตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้นไปอีก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้สำหรับน้องเก่าที่ไม่โตเสียที ( ทำนานมานาน ) ก็เพราะได้งานขัดกับพื้นฐานดวงของตัวเราเอง คือประเภท 1 ได้งานประเภท 2 / ประเภท 2 ได้งานประเภท 1 มันทำให้เราทำงานเหมือนทำไปวันๆ ให้เสร็จ และยิ่งเราพยายามทำหรือพยายามเข้าใจงานมากขึ้นเท่าไหร่ ..ก็ยิ่งเละไปกันใหญ่ ....เหมือนคนเล่าเรื่องตลกไม่เป็น เล่าอย่างไรก็ไม่มีใครขำ ( เพราะไม่เข้าใจ ) ..ยิ่งพยายามใส่แก๊กมากขึ้น คนฟังก็ยิ่งงง ... เพิ่มอุปกรณ์ประกอบท่าทางมากขึ้นเท่าใด
ก็ยิ่งไม่มีคนขำมากขึ้นเท่านั้น ... สุดท้ายมีขำอยู่คนเดียวคือตัวคุณเอง ...งานของคุณก็เหมือนกัน คุณทำเองคุณเข้าใจคุณคนเดียว คนอื่นไม่เข้าใจงานของคุณ
เพราะบุคลิคลักษณะของตัวคุณเองขัดกับงานที่ทำ กลับกัน ให้คนที่เล่าเรื่องตลกเป็น เขาเล่าแบบธรรมดา เนิบๆ..แต่คนฟังขำกลิ้ง ยิ่งประกอบท่าทางด้วย โอ๊ย..
คนฟังนำ้หูนำ้ตาไหล ลงไปชักดิ้นชักงอแทบจะตายให้ได้ หมายความว่าคนคนนั้นได้ทำงานที่ตัวเขาเองชอบ และพัฒนา ( ประกอบท่าทาง ) ต่อยอดให้กับงานจนดีขึ้น..
...หันกลับมาดูตัวเราเองในวันนี้ก่อนว่า เราได้งานผิดลักษณะ (ไม่ตรงกับบุคลิคลักษณะของตัวเรา ) หรือไม่ ควรเปลี่ยนงานไปเป็นประเภทที่เราชอบและทำได้ดี ดีกว่าไม๊ เช่น ชอบอยู่คนเดียวแต่ได้ไปทำแผนกประสานงาน... ย้ายตัวเองไปอยู่แผนกตัดต่อ ทำกราฟฟิค หรือทำอะไรที่อยู่ในห้องเงียบๆ ทำงานคนเดียวได้อย่างมีความสุข ...หรือคิดว่าอยากทำแบบที่เราทำอยู่ แม้ไม่ตรงกับบุคลิคลักษณะของตัวเราก็ตาม แต่จะขอสู้..แม้ถึงวันที่ผืนดินกลบหน้า...ได้เลยเราพร้อมจะสู้ไปกับคุณ อ่านต่อเลยข้อ 2.2. เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่า สาเหตุจริงๆที่ทำให้คุณไม่ก้าวหน้าในหน้าที่งานโปรดัคชั่น ณ วันนี้คุณต้องยอมรับถึงความเจ็บปวดที่คุณจะต้องเจอในภายภาคหน้า ( เขาเรียกฝืนดวง ) คุณจะต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น 2-3 เท่า และคุณต้องต่อสู้กับความยากลำบากที่แสนสาหัสมากๆ ( เช่นดวงมีได้แค่รถญี่ปุ่นเก่าๆ แต่คุณบอกอยากขับเบนซ์ อารมณ์นั้นแหละ ) ...นั่่นหมายความว่า คุณจะต้องปรับปรุงตัว (เป็นคนใหม่ )ในสิ่งที่คุณไม่ชอบเลย และพยายามหาความรู้ ฝึกฝน ในสิ่งที่คุณยังไม่แกร่งให้แกร่งและแน่นขึ้น
ถามต่ออีกว่า ภายในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา คุณได้หาความรู้เพิ่มเติมอะไรบ้างเกี่ยวกับอาชีพของคุณ เช่น อ่านหนังสือ ดูข้อมูล หนังดีที่คนอื่นแนะนำให้ดู
( ไม่รวมเว็บนี่้นา เพราะพี่ๆคนอื่นหามาให้คุณไม่ใช่คุณหาเอง ) 1 เดือนสั้นไปหรือ ให้ 6 เดือน , สั้นไปอีก ให้ 1 ปี ถ้าคุณบอกว่า ไม่เคยหาความรู้ใส่ตัวเลยภายในปีที่ผ่านมา
มัวแต่สนุกไปวันๆกับเพื่อน เลิกงาน เที่ยว กิน ดื่ม ว่างเปิดเน็ตแต่ดูอย่างอื่นที่ไม่สร้างสรรค์ ฯลฯ ..
วันนี้ไม่หาความรู้ใส่ตัว ..อนาคตไม่ต้องถามว่า จะก้าวหน้าไหม...3.
ช่างภาพ จะแบ่งตามระดับความเก่ง สมมติเป็นเวทีคอนเสริ์ต ( แบ่งขั้นตอนคร่าวๆ...ให้น้องใหม่ได้รู้ )
- ช่างภาพ 1 เก่งสุด คือยู่หน้าเวทีหรือบนเวที เพราะต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา ไม่ใช้ขาภาพต้องนิ่ง คอมโพสต้องเร็ว โฟกัสต้องแม่น เพราะนักร้องจะเคลื่อนไหวตลอดเวลา
- ช่างภาพ 2 - 3 เก่งรองลงมา อยู่ซ้ายขวาเวที ใช้ขากล้องตลอด คอยช่วยเหลือเวลากล้อง 1 พลาด และคอยส่งให้กล้อง 1 รับต่อ เมื่ออารมณ์ภาพได้
- ช่างภาพ 4 เก่งน้อยสุด ซูมอินเต็มเวทีกับเอาท์เต็มโรง เพื่อคอยส่งภาพให้กับ ช่างภาพ 2-3 อาจมีแพนซ้ายขวาเห็นคนบนเวที ใกล้ครึ่งตัวนักร้องแต่สั้นๆรอส่งต่อ
..การก้าวหน้าเป็นลำดับขั้น ของอาชีพช่างภาพที่ใฝ่ฝัน นั่นคือ .....ช่างภาพ 4 อยากเป็นช่างภาพ 2-3 ..../ ช่างภาพ 2-3 อยากเป็นช่างภาพ 1
.... ช่างภาพ 1 อยากเป็นคนสวิทอยู่ในรถโอบี หรือ ...อยากเป็นผู้กำกับ ...อยากเป็นโปรดิวเซอร์ ฯลฯ (แล้วแต่ความฝันที่ถนัดของแต่ละคน )
....แบบฝึกหัดต่อนี้ไป ใครอยากเลื่อนขั้นไปเป็นอะไร อ่านเองและนำไปใช้ ฝึก ปฏิบัติเอง ตามแนวทางที่คุณถนัดและใฝ่ฝันที่จะไปให้ถึง4.- อยากเป็นช่างภาพมือหนึ่งในทีม หลายโปรดัคชั่นที่เวลาออกกอง ย่อมต้องไปถึงก่อนประมาณ 2-3 ชม. เซ็ตของเสร็จเรียบร้อยเตรียมพร้อมถ่ายทำล่วงหน้าก่อน 1 ชม.เสมอ โดยเฉลี่ย ไม่เคยเห็นผู้ช่วยคนไหนเลยที่ใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์ กองไหนกองนั้น นั่งคุย กินเล่น รอเวลาเริ่มถ่าย เสียดายเวลาที่ผ่านไปโดยไม่มีคุณค่า และเมื่อเห็นเครื่องมือ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ กล้องตัวละล้าน ขาตัวละแสน โอกาสที่เราได้อยู่ใกล้ชิด เห็นเครื่องมือเป็นๆไม่ใช่ภาพถ่าย (สำหรับคนอื่นที่อยากเข้าใกล้แต่ไม่มีโอกาส )
อยากให้คุณ เอาเวลาที่นั่งคุยเรื่อยเปื่อยผันแปรมาเป็นความรู้คู่ไปกับการฝึกที่ผมให้ไป ( อยากเป็นช่างภาพอาชีพ ) ฝึกกับของจริง เครื่องมือจริง ที่เขาใช้กันอยู่จริง ๆ ฝึกทุกครั้งที่ว่างและเมื่อมีเวลา ถ้าประเจิดประเจ้อก็ยกไปแอบไว้ด้านหลัง เอาเพียงแต่ขากับตัวกล้องไปฝึกก็พอ ถ้าพี่ช่างภาพเขาหวงก็แอบฝึกไม่ให้เห็นหรือไม่ก็ขอพี่เขาดีๆ
แต่ถ้าพี่ช่างภาพไม่ยอมให้ฝึก กลัวเราขึ้นตำแหน่งแทน ก็รอเวลาที่เขาเผลอแล้วฝึก คงมีช่วงที่เขาเผลอบ้างหรอกน่า
เขาเรียก ครูพักลักจำ ทำไปเรื่อยๆวันละนิดก็เอา รวมๆกันหลายวันก็เก่งเองแหละ..
5. เวลาทำงานแล้วคิดตาม โอกาสเรามีมากกว่าน้องใหม่ตรงนี้ ( น้องใหม่เรียนจากรูป และตัวหนังสือ ) คือเราสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์จริงโดยตรง ได้ทั้งอารมณ์ภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยินในขณะนั้น ดูแล้วคิดตามว่า ทำไมเขากำกับแบบนี้ ทำไมเขาถ่ายแบบนี้ คิดไปเรื่อยๆรู้บ้างไม่รู้บ้าง ฝึกสมองให้คิดตาม
วัตถุดิบพวกนี้สมองจะเก็บไว้ลิ้นชักในสุด เมื่อวันหนึ่งที่คุณต้องทำงานจริง สมองจะเปิดลิ้นชักเหล่านี้ให้คุณเมืื่อคุณอยากรู้คำตอบ
6.
กลับมาถึงออฟฟิศ งานที่ถ่ายทำเสร็จแล้วจะถูกส่งถ่าย โอนต่อยังแผนกตัดต่อ จะก๊อปเทปเข้าคอม หรือทำฟุตเตสเก็บเป็นข้อมูลถ้าเป็นสารคดี ให้คุณรับอาสาทำขั้นตอนนี้ให้ได้ ( สำคัญที่สุด ) เพราะบางครั้งการออกกองจริง คุณต้องทำหน้าที่อย่างอื่นที่รับผิดชอบอยู่ อาจไม่มีเวลามานั่งดู นั่งคิดตาม ถึงงานที่พี่ๆเขาทำอยู่ขณะนั้น การกลับมาแล้วรับ
อาสาทำหน้าที่เอาฟุตเข้าคอมฯ จะทำให้คุณสามารถดูได้บ่อยเท่าที่คุณต้องการ และสามารถติดตามขั้นตอนบางขั้นตอนที่ีขาดหายไป ส่วนถ้าเป็นฟุตสารคดีก็รับอาสา
จดรายละเอียดของซีนต่างๆที่พี่ช่างภาพเขาถ่ายมา ว่าเขาแพน เขาทิลท์ เขาซูม อย่างไร จะดูงานกำกับก็ได้ ว่าทำไมเขาถึงให้เดิน ไม่นั่ง ให้คุยทำไมต้องยืน ฯลฯ
การที่ตาเรามองผ่านงานในการถ่ายทำจริง กับตาที่มอง งานที่ออกมาเป็นภาพในจอทีวี เราจะเห็นความแตกต่างได้ชัด และทำให้เราได้ข้อคิดในการต่อยอดงานส่วนตัวของเรา ในการทำงานภายหน้าได้ ทำทุกวันที่มีโอกาส เหนื่อยวันนี้เพื่ออนาคตที่สดใสในวันหน้า.. ( อยากขับเบนซ์ต้องทน ท่องไว้ ๆๆๆ)
7.
แผนกตัดต่อ น้องใหม่หลายคนไม่ชอบตัดต่อ อยากออกกอง เพราะสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ เพื่อนเยอะ ที่สำคัญเจอสาวสวย บอกเลยว่า การตัดต่ออยากให้น้องใหม่และน้องเก่า
ทำมากๆๆๆๆ เ
พราะการอยู่หัองตัดต่อ เราสามารถต่อยอดความฝันของเราได้ ไกลเท่าที่ต้องการ และไปได้หลายทางด้วยกัน เช่น ช่างภาพ ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ เขียนบท ฯลฯ
รวมถึงการได้ประสบการณ์จากพี่ๆที่แวะเวียนเข้ามาสั่งสอนเรา มันคือบทเรียนที่หาไม่ได้เลย ( แม้เราจะเสียเงินไปเรียนที่โรงเรียนสอนวิชาพวกนี้โดยเฉพาะ ) 1 คนผ่านไปเรา
ได้ 1 ตำรา / 2-3-4 คนที่ผ่านไป จนถึง 100 คน เท่ากับเราได้ตำรา 100 เล่ม เก็บไว้ในห้องสมุดเล็กๆ ( มืออาชีพ ) ของตัวเองแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ต้องถามว่าจะไปสมัครอยู่
โปรดัคชั่นไหน แค่ชี้นิ้วสั่งว่า ...จะให้โปรดัคชั่นน้้ั้น ...ตั้งโต๊ะทำงานของคุณไว้ตรงไหน... ก็พอแล้วคับ..
8.
สำหรับคนที่อยากเป็นคนสวิท ( ระบบโอบี ) ฝึกไว้ก็ดีเผื่อ รายการทางเคเบิ้ลทีวีเปิดรับสมัคร หลายคนบ่นว่ายาก มันอาจจะจริง ที่ว่ายากเพราะต้องใช้ความสามารถในการ
ทำงานเฉพาะตัวสูงมากๆๆๆๆ เสี่ยงมากๆๆๆๆ โดนด่ามากๆๆๆๆๆ แต่เงินเดือนมากๆๆๆๆเหมือนกันนะคับ และเท่ห์สุดๆเวลาเดินในทีมถ่าย สาวๆรุมตอมเป็นขบวน ต้องพยายาม
เดินตัวตรงเพื่อจะได้ทำตัวสูงๆ ให้สาวข้างหลังได้เห็นหน้าบ้าง ..
.เริ่มต้นถามตัวคุณเองก่อนว่า คุณมีความสามารถทำอะไรพร้อมกันหลายๆอย่างในขณะเดียวกันได้ไม๊ เช่น
เป็นช่างภาพ กำกับ จัดไฟ ดูแลความผิดพลาดในการถ่ายทำแทนลูกค้า ถ้าสามารถทำได้ทุกอย่างพร้อมกันในเวลาเดียวกัน คุณทำอาชีพนี้ได้ทุกคน รับรองคับ เหตุที่พูดเพราะ
คนสวิทในระบบโอบี จะเป็นผู้ที่เห็นจอทีวีทั้งหมด 4 จอ ( เป็นตัวแทนช่างภาพ 4 กล้อง ) ต้องดูอารมณ์ของภาพ ( เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ) ณ ตอนนั้น และคิดล่วงหน้าว่า
จะให้อารมณ์ของภาพไปทางไหน เช่น นางเอกกำลังร้องไห้ในห้องนอน
. ..กล้อง 1 จับภาพใกล้นำ้ตา ( พูดสั่งกล้อง 2ล่วงหน้า รอกว้าง รอเวลาที่นางเอกเอื้อมมือหยิบผ้าซับนำ้ตา ) เมื่อนางเอกพร้อมหยิบสมองสั่งสวิทไป
...พร้อมสั่งกล้อง 3 ล่วงหน้าให้ไปรอตรงประตูรับพระเอกเข้าห้อง ตามองรอจังหวะที่พระเอกกำลังเปิดประตู สมองสั่่งสวิทไป
... กลับไปสั่งกล้อง 1 ล่วงหน้ารอรับหน้าพระเอกตอนตกใจ ..พร้อมล่วงหน้าสั่งกล้อง 2 เข้าใกล้หน้านางเอกเงยหน้ามองพระเอก ย้อนกลับไปสั่งกล้อง 3 รอกว้าง
ให้คนทั้งสองมาเจอกัน ทุกอย่างต้องสั่งล่วงหน้าก่อนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงเสมอ... ตาขวาจ้องมองจอทีวีทั้ง 4 สมองรับรู้อารมณ์แทนคนดูขณะนั้น
...ตาซ้ายมองช่างภาพที่สั่งให้ช่างภาพทำงานล่วงหน้าพร้อมหรือยัง ตาขวากลับมาชำเลืองดูบทที่พระเอกนางเอกพูด ควรรับภาพใครฟัง หรือใครเป็นคนพูด
อารมณ์ภาพที่เสนอสู่คนดูจะได้อารมณ์ร่วมไปด้วย เรียกว่าสมองสั่งมือกด ปากพูด ประสานกันทั้งหมดพร้อมกันในเวลาเดียวกัน ( ไม่ยากเลยใช่ไม๊ )
.....ทราบวิธีการทำงานเบื้องต้นแล้ว ในการทำงานจริง ถ้าคุณสั่งพลาดนั่นหมายความว่า ทุกคนต้องเล่นใหม่หมด และยิ่งโดยเฉพาะฉากอารมณ์ด้วยแล้ว
ทุกคนเครียดมากถ้าคุณสั่งผิดสั่งถูก คนเล่นต้องเล่นแล้วเล่นอีก รับรองคุณตายแน่ระวังจะโดนรุมนะคับ ในเมื่อไม่มีงานจริงให้ลอง เ
รามีหลักปฏิบัติให้คุณซ้อม...... ฝึกง่ายมากๆเลย เปิดทีวีดูละครในจอคอมนั่นล่ะ ตามองทีวีตลอด นิ้วมือทั้ง 5 วางบนโต๊ะก็ ได้จำลองให้เหมือนจริงทุกอย่าง อาบนำ้แต่งตัวใส่นำ้หอมทำผมตั้งและนั่งหลังตรง ( มองซ้ายขวาทักทายคนรอบตัว ยิ้มเล็กน้อยพอ ) ซ้อมเก็กไว้ไปเลยในตัว ....เริ่มต้นดูว่าในฉากมีกล้องกี่ตัว ก็เอานิ้วมือวางไว้บนโต๊ะ
ใช้แป้นคอมฯเป็นแป้นสวิทก็ได้ ระยะห่างเท่ากัน ( เขียนเบอร์ติด 1-4 เท่าจำนวนกล้องบนแป้น ) พร้อมเรียบร้อยแล้ว ให้เอามือทั้ง 4 ตามถนัด ชี้ กลาง นาง ก้อย
วางประจำบนแป้น ( เคลื่อนเฉพาะนิ้วมือ ข้อมืออยู่กับที่ ) ตาคอยมองทีวีดูว่าเขาสวิทกล้องไหน 1 - 2 - 3 - 4 เมื่อภาพในจอเป็นกล้องไหนมือก็กดก้องนั้นไว้เช่นกัน
ทำไปเรื่อยๆทั้งเรื่อง ทีนี้คุณจะรู้เลยว่า กล้องแต่ละตัวทำหน้าที่อะไรในฉากนั้น ทำไมเขาสวิทมากล้องนี้เพราะอะไร อ๋อ..ต้องรอ 2 คนมาเจอกัน กล้องนั้นรับหน้า
กล้องนู้นรับมือ กลับมากล้องนี้มาช่วยต่อหน้า ทั้งที่เมื่อกี๊จับพระเอกอยู่ ฯลฯ ทำเรื่อยๆนะทุกเรื่อง จะเป็นละคร เกมส์โชว์ คอนเสริ์ตก็ได้ ทำไปเรื่อยๆแล้วจะรู้โทน
ของอารมณ์ภาพในขณะนั้น สามารถนำคุณไปต่อยอดสู่งานส่วนตัว หนังสั้น หรือ MV - เวดดิ้งได้ เพราะเมื่อคุณฝึกสมำ่เสมอหลายกล้องทำงานพร้อมกัน ทีนี้ พอมาทำงานตัวเอง 1 กล้อง เพื่อนคุณอาจสังเกตุอารมณ์บ่จอยของคุณได้ ว่าวันนี้เป็นอะไรวะดูเครียดๆ บอกเขาไปเลย เคยทำงานอย่างตำ่ 4 กล้องว่ะ
พอมาทำกล้องเดียวเลยหงุดหงิด...ทำอาราย.. ก้อม่ายล่ายลังใจทุกที...เครียดโว้ย..( ทำหน้าไม่สบอารมณ์ด้วย เพื่อนจะได้เชื่อมากๆ )
9.
เริ่มเครียดหรือยัง ถ้าคุณเครียดก็แสดงว่ามาถูกทางแล้ว เพราะคนทำงานทางด้านนี้ต้องเครียดเพราะ คุณกำลังเป็นหัวหน้างาน เมื่อก่อนคุณเป็นเพียงผู้ใช้แรงงาน
หรือตำแหน่งเล็กๆ ที่ไม่รับผิดชอบมาก แต่มา
ณ วันนี้คุณต้องการขึ้นมายืนอยู่แนวหน้าเทียบชั้นเท่่าพี่ๆ คุณต้องพร้อมรับเสมอกับทุกรูปแบบ -
ความเครียด ที่เกิดจากคนอื่น ทั้งๆที่คุณไม่ได้เป็นคนทำ แต่ต้องรับผิดชอบ เช่น ลูกน้องทำงานเสีย คุณก็ต้องรับผิดชอบนี้ไปเต็มๆ
-
ความเสี่ยงของงานที่อาจเสียจากคุณ ดีไมีดีคุณอาจต้องรับผิดชอบผลเสียที่เกิดจากการกระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตัวคุณเอง ( ถ้าเป็นเงินอาจหลายหลัก )
-
ความกลัว แน่นอนเกิดขึ้น 1000% เมื่อวันที่คุณก้าวขึ้นแนวหน้า คุณต้องโดนทดสอบจากคนรอบข้าง อาจเป็นผู้ช่วยของทีมอื่น...
" พี่แน่ใจหรือจะตั้งกล้องมุมนี้ ผมว่ามันไม่สวยนะ มุมนั้นดีกว่า เพราะ..... " เอาล่ะซิ หลักไม่แน่นเริ่มเขวแล้ว ไอ้นี่เป็นผู้ช่วยมา 10 ปี เราเพิ่งขึ้นมาอยู่แนวหน้าได้ปีเดียว
ทำไงดีว่ะ..( ใครเก่งโดนลองของทุกคน ) ฉนั้น ถึงบอก ใครฐานไม่แน่น ออกมาสู่โลกการทำงานจริง ระวังถูกฆ่าตายกลางกองนะ
10. ข้อสุดท้ายแล้ว
ถ้าลองทำทุกวิธีที่ผมแนะนำแล้วรู้สึกว่า ไปไม่ไหว ก็อย่าไปฝืนมันเลยคับ ยอมรับชะตากรรมชีวิต ทางเดินของตัวเราเองที่เป็นอยู่จริงขณะนี้ ที่เขาเรียกกันว่า ชีวิตเกิดมาเพื่อที่จะเป็นลูกน้อง พูดง่ายๆว่า ฝึกอย่างไร ขยันมากแค่ไหนก็ไม่ไปไหนเสียที แสดงว่าบารมีเรามีแค่นี้ แม้จะเป็นเพียงแค่หางราชสีห์
ไม่สามารถที่จะขยับเป็นหัวราชสีห์ได้ ก็จงภูมิใจกับมัน แล้วทำให้ให้ดีที่สุด เช่น เป็นผู้ช่วยกล้อง ก็ทำให้เต็ม สมบูรณ์มีประสิทธิภาพเต็ม 100 แม้เราจะเป็นเพียงเฟือง
จักรชิ้นเล็กๆในองค์กร แต่ถ้างานนั้นไม่มีเราเป็นตัวขับเคลื่อน งานชิ้นเล็กในวันนี้ก็ไม่สามารถยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต ..ได้เช่นกัน...
...ณ วันนี้ โลกได้เปลี่ยนและพัฒนาต่อเนื่องแบบไม่หยุดนิ่ง สินค้าที่ออกใหม่วันนี้ นำสมัยวันนี้ พรุ่งนี้ล้าสมัยแล้ว เพราะมีสินค้าใหม่เกิดขึ้นนับไม่ถ้วนในแต่ละวัน
อยากให้พี่ๆคนเก่งที่อยู่แถวหน้า อย่าปิดกั้น หวงความรู้ หรือคอยหวาดระแวงกลัวว่าน้องใหม่จะเก่งและขึ้นมาแทนตำแหน่งของตัวเอง เราอาจปิดกั้นน้องในทีมงานได้จริง
แต่คุณไม่สามารถปิดกั้นโลกความเป็นจริงที่หมุนพัฒนาอยู่ตลอดเวลาได้ สู้คุณยอมรับมันอย่างกล้าหาญ ช่วยส่งเสริมน้องๆให้มีโอกาส ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่
เราอาจได้ความคิดดีๆ จากน้องคนเก่งหลายคน ตัวคุณก็ไม่ต้องเหนื่อยทำงานมาก ผันตัวมาเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำ มีเวลาว่างที่จะไปคิดทำงานอื่นที่ใหญ่ขึ้น
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ที่คุณเป็นรุ่นพี่ ต่อให้เด็กได้เรียนรู้ ได้ฝึกยังไง ก็ไม่เก่งเท่าคุณได้หรอก เพราะเมื่อเด็กฝึกจนเก่ง คุณก็เก่งเลยไปอีกขั้นแล้วเหมือนกัน
และอีกอย่างที่อยากจะขอร้องรุ่นพี่ๆแนวหน้าว่า อย่าบีบคั้นเด็กผู้ช่วยมากนัก ในเมื่อเขารู้และยอมรับโชคชะตาของเขาแล้ว หากงานที่เด็กรับผิดชอบไปทำแล้วเสียอยากให้ทบทวนกลับมาที่ตัวเราว่า ที่เด็กไม่เข้าใจเป็นเพราะเราสั่งไม่ละเอียดหรือเปล่า ถ้อยทีถ้อยอาศัยแบบพี่ปกครองน้องซึ่งกันและกัน ไม่มีเขาเราก็ทำงานไม่ได้เหมือนกันนะ......" ผมน่ะรู้ตัวว่า โง่และไม่ฉลาด แต่อยากให้พี่ๆช่วยสอนและอธิบายให้ผมเข้าใจอย่างละเอียดหน่อย ถ้าผมเข้าใจในงานอย่างถ่องแท้ ผมทำตายเลยนะ "....( ผู้ช่วยฝากมาน่ะ )
...เราอยากให้คุณแสดงออกด้วยการกระทำ ไม่ใช่แค่เพียงคำพูด กว่าที่รุ่นพี่รุ่นก่อนๆจะก้าวมาถึงจุดนี้ เขาก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมามากกว่าคุณหลายเท่านัก
ต้องลองผิดลองถูกแลกด้วยชีวิตเป็นเดิมพัน ถ้าพลาดทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าสำเร็จสิ่งที่ตามมา ( ชื่อเสียง และเงิน ) ...ก็ให้ผลตอบแทน...ที่คุ้มเหนื่อยเช่นกัน ......อยากบอกให้คนที่จะทำงานอาชีพนี้ว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่บริษัทใหญ่โตอย่างมหาชนหรือบริษัทเล็กๆ.. วันนี้มีงาน พรุ่งนี้อาจตกงาน วันนี้ผู้ใหญ่สนับสนุน พรุ่งนี้อาจโดดเดี่ยว
.สำหรับอาชีพนี้ .คำว่า.....ความมั่นคง....กับ....ความก้าวหน้า .....มักจะเดินสวนทางอยู่เสมอ ...ถ้าคุณเลือกมั่นคง ( อยู่กับที่ เป็นลูกน้อง ) .......ก็ไม่ก้าวหน้า ( ไม่มีความเสี่ยง )...แต่ถ้าคุณเลือกก้าวหน้า ( อยากเป็นเจ้านาย ) .....ก็ไม่มั่นคง ( อาจไม่ประสบความสำเร็จ )... ถามใจคุณเองก่อนว่า ....จะเลือกอยู่ข้างคำไหน....[ แก้ไขล่าสุดโดย p0p-it เมื่อ 2011-07-01 11:09 ]